ลงทุนเป็นนายหน้าอสังหาฯ ทำอย่างไรให้รวย

ลงทุนเป็นนายหน้าอสังหาฯ ทำอย่างไรให้รวย

หลายคนคิดว่าการลงทุนมีความเสี่ยงและมีต้นทุนสูงด้วย สำหรับคนที่กำลังคิดหาช่องทางการลงทุนที่ต่ำที่สุดแต่ให้ผลตอบแทนสูง มีโอกาสหาเงินได้จากหลายอาชีพ และหนึ่งในอาชีพที่หลายคนให้ความสนใจกันมากในปัจจุบันคือ นายหน้าบนโลกออนไลน์ ที่หลายคนทำแล้วรวย งานนี้เป็นอย่างไร ต้องทำอะไรบ้าง มาติดตามอ่านกันเลย

พูดถึงการเป็นนายหน้าเรียกได้ว่าเป็นการจับเสือมือเปล่า เช่น จะขายที่ดินก็ไม่ต้องมีที่ดินของตัวเองเลย เพียงชวนคนซื้อให้มาดูที่ดินของอีกคน พอขายได้แล้วก็รอรับตังค์ค่านายหน้า ถือเป็นอีกอาชีพสุดคลาสสิกที่น่าสนใจและไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่การเป็นนายหน้าในปัจจุบันไม่ได้จำกัดเฉพาะที่ดินเท่านั้น ยังรวมถึงการขายสินค้าออนไลน์หลายชนิด

นายหน้าอสังหาริมทรัพย์เป็นอาชีพสุดคลาสสิกที่ก้าวหน้ามากในโลกออนไลน์ยุคปัจจุบัน ใครๆ ก็สามารถเป็นตัวแทนขายได้ โดยประกาศโฆษณาหาผู้ซื้อได้ง่ายผ่านทางเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียหลายรูปแบบ รวมถึง Facebook,  Instagram และ Youtube ซึ่งแน่นอนว่ายังต้องมีการลงทุนอยู่บ้างในด้านการโฆษณาเพื่อให้ผู้ซื้อเกิดความสนใจและสอบถามข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม

อาชีพนายหน้าสร้างโอกาสเพิ่มรายได้ให้หลายคน ทั้งประกอบอาชีพหลักและทำเป็นอาชีพเสริมก็ได้ เมื่อขายที่ดินหรือขายบ้านได้ อัตราผลตอบแทนจากนายหน้าอยู่ระหว่าง 3%-10% ถือว่าไม่น้อยเลยจริงๆ การเป็นนายหน้าใช้เงินลงทุนไม่มาก ต้นทุนที่ต้องใช้ประกอบไปด้วยค่าโฆษณา ค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำมัน รวมกันแล้วถือว่ามีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับรายได้ต่อครั้ง ถือว่าคุ้มมากเมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นนายหน้าเสนอขายสินค้าอย่างอื่น

นายหน้าที่ประสบความสำเร็จต้องมีไอเดียการขาย ใกล้ชิดกับข้อมูลและสามารถโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึง Facebook และ Youtube เพื่อให้เข้าตาลูกค้าที่กำลังค้นหาข้อมูลแหล่งที่จะซื้อและลงทุน ลูกค้าถามอะไรเราต้องตอบได้ การเป็นตัวแทนขายนอกจากจะรู้ลึกรู้จริงแล้วยังต้องใช้ภาษาได้ดี ครีเอทคอนเทนต์ที่น่าสนใจ มีเทคนิคการเจรจาต่อรองซึ่งเป็นความสามารถพิเศษของนายหน้า และทำตัวให้น่าเชื่อถือด้วย 

จากคำพูดที่ว่า นายหน้าอสังหาฯ เป็นการจับเสือมือเปล่า อาจไม่ตรงความหมายเสียทีเดียว เพราะต้องลงทุนในเรื่องข้อมูลเยอะ มีต้นทุนการดำเนินงานและช่องทางการตลาดให้ถึงกลุ่มลูกค้า แต่ถ้าเทียบกับรายรับแล้วเป็นการลงทุนที่คุ้มมาก

การเป็นนายหน้าอสังหาฯ อาจมีรายได้ไม่แน่นอน กว่าจะขายที่หรือบ้านได้แต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่ายในยุคปัจจุบัน เจ้าของที่บางรายอาจขายตกลงกันเองกับผู้ซื้อที่นายหน้าแนะนำ เรียกว่าสุดท้ายตกลงขายกันเองโดยไม่ผ่านคนกลาง การเป็นตัวแทนนายหน้าจึงควรเป็นอาชีพเสริมเนื่องจากรายได้ไม่แน่นอน ควรเรียนรู้กฎหมายเพื่อให้รับมือกับการซื้อการโอนที่อยู่อาศัยที่อาจมีข้อติดขัดเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครเกิดมาเป็นนักขายโดยตรง แต่ก็มีหลายคนที่พาตัวเองเข้าสู่เส้นทางอาชีพนายหน้าและได้เงินเยอะ โดยสรุปแล้วยิ่งทำงานแบบมืออาชีพ ทุ่มเทเวลาทำงานเต็มที่ ก็มีโอกาสรวยเร็วได้

อัปเดตเทรนด์การลงทุนสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย เริ่มต้นไว เกษียณอายุเร็ว

อัปเดตเทรนด์การลงทุนสำหรับนักศึกษา

“การลงทุน” เครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ยิ่งวางแผนการใช้เงินเร็วเท่าไหร่ยิ่งทำให้มีโอกาสมีคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยเกษียณมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันการลงทุนจึงกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่ายทำให้นักศึกษามหาวิทยาลัยก็สามารถเริ่มต้นวางแผนการเงินและการลงทุนได้ 

  1. เครื่องมือลงทุนสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย
  1. การลงทุนแบบ Passive Income การลงทุนแบบ Passive income เป็นเทรนด์ยอดนิยมในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัย เพราะเป็นการลงทุนที่สามารถเลือกการใช้เงินทุนและเลือกความเสี่ยงได้ตามฐานะทางการเงินของตัวเอง เช่น การออมเงินในบัญชีเงินฝาก, เงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล, ประกันสะสมทรัพย์, ตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนรวมอสังหาฯ และหุ้น หรือกองทุนรวมหุ้น
  1. การลงทุนที่รับผิดชอบต่อสังคม (Socially Responsible Investment : SRI) เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นลงทุนในกิจการที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนตามหลักสากล เช่น SDGs UN Global Compact เป็นต้น เช่น นโยบายการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน กลยุทธ์การลงทุน ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น โดยจุดเด่นในการลงทุน SRI Fund คือ เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ของกิจการที่เน้นความยั่งยืนเป็นหลักและเป็นการลงทุนที่ช่วยผลกระทบเชิงบวกทางสังคม พร้อมทั้งได้ผลประโยชน์จากเงินปันผลด้วย
  1. สกุลเงินดิจิทัล Cryptocurrency สกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ฯลฯ เป็นการลงทุนที่มีได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในปัจจุบันเนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนสูง แต่มาพร้อมกับความเสี่ยงสูงเช่นกัน ผู้ที่สนใจควรศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อนลงทุน

สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่รู้แล้วว่าอยากลงทุนในเครื่องมือแบบไหน หรือเครื่องมือแบบไหนตอบโจทย์กำลังทรัพย์ของตัวเอง เคล็ดลับการลงทุนต่อไปนี้จะทำให้นักศึกษาในวันนี้กลายเป็นคนสูงวัยที่สุขสบายในวันหน้า

3 เคล็ดลับการลงทุนของนักศึกษามหาวิทยาลัย

  • การลงทุนไม่ต้องเยอะ แม้ว่าจะมีนักศึกษาจำนวนมากที่มีกำลังทรัพย์พอต่อการลงทุนในเครื่องมือที่มีความเสี่ยงสูงได้ แต่หากยังไม่เคยลงทุนมาก่อนควรเริ่มจากการลงทุนด้วยเงินทุนที่ไม่เยอะเกินไป เช่น 500 – 1,000 บาท/เดือน เป็นต้น เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนของการลงทุน รวมถึงการลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย ๆ แต่สามารถลงทุนต่อเนื่องในระยะยาวย่อมส่งผลดีมากกว่า 
  • กระจายความเสี่ยง ควรทดลองลงทุนในเครื่องมือที่มีความหลากหลาย เช่น หุ้น พันธบัตรและสินทรัพย์อื่นๆ เพราะนอกจากจะทำให้เข้าใจเครื่องมือในการลงทุนแต่ละแบบมากขึ้นยังเป็นการกระจายความเสี่ยงด้วย
  • เรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุน ในปัจจุบันความรู้เรื่องการลงทุนไม่ใช่เรื่องที่เข้าถึงยากอีกต่อไป เพราะเราสามารถเรียนรู้ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้ เช่น Youtube, Facebook, Tiktok หรือ Twitter เป็นต้น ความรู้เรื่องการลงทุนจะทำให้เกิดการตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้นและทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดียิ่งกว่าเดิม

การลงทุนเป็นเครื่องมือช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต แต่ควรลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้การเริ่มต้นลงทุนตั้งแต่ตอนที่เป็น

ลงทุน อะไรดีในปี กระต่ายทอง

ลงทุน อะไรดีในปี กระต่ายทอง

ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมาภาคเศรษฐกิจและการลงทุนเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ มากมาย ทำเอาหลายกิจการล้มหายไปหลายแห่ง ไม่เว้นแม่กระทั่งยักษ์ใหญ่หลายที่ที่ดูมีความมั่นคง แม้ว่าในช่วงท้ายปี 2565 สถานการณ์โควิดจะคลี่คลาย หากหลายกิจการไม่คิดปรับตัวก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ โดยในปีกระต่ายทองนี้ ถือเป็นปีแห่งการลงทุนอย่างแท้จริง เพราะหลายประเทศเริ่มจะผ่อนคลายในมาตรการการแพร่ระบาดของโรค จึงมีการสำรวจเกิดขึ้นว่าในปี 2566 นี้จะลงทุนอะไรดีให้มีผลกำไรยอดขายปัง ๆ ได้ ไปหาคำตอบกัน

  1. ค่าเงิน

หากจะกล่าวถึง ฟอเร็กซ์หลายคนคงรู้จักและเชื่อได้ว่ามากกว่า 80% ต้องไม่กล้าลงทุนเพราะที่ผ่านมา มีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องขาดทุนและโดนโกง ซึ่งจริง ๆ แล้วการลงทุนใน ค่าเงิน สามารถที่ลงทุนด้วยตนเองง่าย ๆ เพียงไปยังสถานที่รับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ แลกสกุลเงินไทยกับสกุลเงินหลักของโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ, เยน ญี่ปุ่น, ปอนด์สเตอริง อังกฤษและยูโร จากนั้นเพียงรอราคาที่ค่าเงินบาทอ่อนก็สามารถที่จะนำไปขายได้ ซึ่งค่าเงินบาท ณ ปัจจุบัน (23/1/2023) แข็งตัวที่ระดับ 32.68 บาท/ดอลลาร์ สหรัฐ หลังจากในช่วงปีที่แล้วอ่อนตัวไปแตะที่ระดับ 38-39 บาท/ดอลล่า สหรัฐมาแล้ว

  1. ทองคำ

หลังจากที่ทำราคาจุดสูงสุดในปี 2020 ที่สามารถขึ้นไปแตะที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์และราคาทิ้งตัวลง ใคร ๆ ต่างก็ประเมินว่าราคาทองคำจะร่วงลงไปที่ระดับต่ำกว่า 1500 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิด หลังจากที่ราคามีการปรับตัวทำ Sideway ออกข้างและพยายามดีดกลับขึ้นมาในระดับ 1800-1900 ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี้ เป็นไปได้ว่าปีนี้อาจเป็นปีของทองคำก็เป็นได้ แม้สถานการณ์ดอกเบี้ยโลกที่เพิ่มสูงขึ้น แต่อย่าลืมว่าหนี้ของแต่ละประเทศก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน การที่แต่ละประเทศหันไปตุนทองจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

  1. หุ้น

เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ร้อนแรงมากที่สุดในช่วงผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะบรรดา VI และนักลงทุนที่มีเงินสดในกระเป๋า ณ ช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นลงไปแตะที่ 900 จุด ผ่านมา 2 ปี ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยกลับมายืนที่ระดับ 1600-1700 จุดได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยไปแตะที่ระดับ 1800 จุด กันมาแล้ว หรือมีการปรับตัวขึ้นมากกว่า 100% แต่นักลงทุนควรเลือกหุ้นด้วยความระมัดระวัง เพราะดัชนีมีการปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้วนั่นเอง

  1. ความรู้

ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนอะไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรใส่ใจและให้ความสำคัญมากที่สุดนั่นก็คือ การลงทุนในความรู้ เพราะการที่ทุกคนมีความรู้ย่อมมีภาษีดีกว่าคนที่ไม่รู้อะไรเลย สังเกตจากในช่วงที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับคนโดนหลอกให้ไปลงทุนจำนวนมาก โดยที่ไม่รู้เลยว่าการลงทุนเหล่านั้นเป็นของจริงหรือไม่และมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด 

สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะลงทุนอะไรก็ตาม ให้พิจารณาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นเสมอและให้นึกถึงกรณีที่ต้องขาดทุนแบบหมดตัวด้วยว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะหลายคนมองแต่ภาพการลงทุนที่สวยหรู รับกำไรเพียงอย่างเดียว จนลืมไปว่าหากขาดทุนจะต้องทำอย่างไร

เช็กลิสต์ 3 สิ่งมือใหม่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจเล่นหุ้น

เช็กลิสต์ 3 สิ่งมือใหม่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจเล่นหุ้น

หากพูดถึงการลงทุนในปัจจุบัน ‘การเล่นหุ้น’ ยังคงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ทุกคนสนใจ เพราะหากเราลงทุนในหุ้นที่ดีก็มีโอกาสทำกำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่เราซื้อไว้อีกด้วย 

การลงทุนในหุ้น หมายถึง การซื้อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยการลงทุนในหุ้นนั้น คุณหวังว่าบริษัทจะเติบโตเมื่อเวลาผ่านไป และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น หุ้นที่คุณถือไว้อาจมีมูลค่ามากขึ้น  นั่นหมายความว่าคุณสามารถทำกำไรได้หากคุณตัดสินใจขายหุ้นนั่นเอง วันนี้จึงชวนมาเปิดวิธีเบื้องต้น สำหรับมือใหม่ที่ต้องการลงทุน ว่าพื้นฐานที่เราควรรู้ก่อนเริ่มเล่นหุ้นมีอะไรบ้าง

  1. รู้จักตนเอง 

สำหรับมือใหม่เริ่มลงทุนสิ่งนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้คุณโฟกัสกับตัวเองได้ว่าเป้าหมายการลงทุนของเราคืออะไร ต้องการออมเงินมากน้อยแค่ไหน จากนั้น จึงมาประเมิน “เงื่อนไขการลงทุน” เช่น อายุของเรา ถนัดสินทรัพย์ประเภทไหน มีประสบการณ์ลงทุนหรือไม่ ต้องการผลตอบแทนรูปแบบใด  และประเด็นสำคัญสำหรับการลงทุนในหุ้น  คือ ต้องรู้ตัวว่าเรา “ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน?” เพราะสิ่งนี้ล้วนมีผลต่อการลงทุนของเราทั้งสิ้น เนื่องจากตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน อาจมีหุ้นขึ้น หรือลง ได้ตามการแปรผันของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยเช่นกัน

  1. ศึกษาข้อมูลหุ้นที่สนใจ

ข้อนี้เป็นหนึ่งปัจจัยสำหรับมือใหม่ที่จำเป็นต้องศึกษาหุ้นที่คุณสนใจอย่างละเอียดลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูลของบริษัทฯ ที่จะเข้าไปซื้อหุ้น ได้แก่ ประเภทธุรกิจ, ภาวะตลาด, โมเดลธุรกิจ, ผลประกอบการย้อนหลังของบริษัท และอื่น ๆ รวมถึงไม่ลืมที่จะติดตามความเคลื่อนไหว ข่าวสาร ของหุ้นนั้น ๆ ว่ามีทิศทาง หรือปัจจัย ที่อาจได้รับผลบวก หรือผลกระทบอย่างไรในปัจจุบันและอนาคต

  1. สร้างพอร์ตที่เหมาะกับตนเอง

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มือใหม่ควรรู้ นั่นคือคุณต้องสร้างและจัดการพอร์ตที่เหมาะกับตัวของคุณเอง โดยต้องกระจายความเสี่ยงได้อย่างสมดุล และต้องไม่ลืมที่จะเลือกหุ้นที่คุณมองเห็นว่าเหมาะสมกับสไตล์การเล่นหุ้นของคุณ กล่าวคือ หากคุณเป็นสายเก็งกำไร ก็อาจจะศึกษาลงทุนหุ้นที่กำลังมีแนวโน้มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หากคุณเป็นสายเน้นปันผล ไม่ค่อยมีเวลาติดตาม ก็อาจจะเลือกลงทุนหุ้นที่มีความมั่นคงในระยะยาว และให้เปอร์เซ็นต์ตอบแทนปันผลที่ดี เพื่อสอดคล้องกับความต้องการลงทุนของคุณได้ตามต้องการ

ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ‘การลงทุนมีความเสี่ยง’ เพราะฉะนั้นสิ่งที่นักลงทุนมือใหม่อย่างเราทำได้ คือการศึกษาพื้นฐานของหุ้นอย่างละเอียด รู้จักแนวทางของตนเอง และไม่ลืมที่จะคอยเติมความรู้ใหม่ ๆ ในการลงทุนเสมอ รับรองว่าคุณจะสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ไม่ยาก

สิ่งที่นักลงทุนหน้าใหม่ควรรู้ก่อนเริ่มลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง

สิ่งที่นักลงทุนหน้าใหม่ควรรู้ก่อนเริ่มลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง

จากแหล่งข้อมูลมากมายทั้งในอินเทอร์เน็ตและในหัวข้อข่าวต่าง ๆ ทำให้หลาย ๆ คนอาจจะเห็นนักลงทุนที่เก่ง ๆ สร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนในหุ้น หรือลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ และพากันคิดไปเองว่าเป็นเรื่องง่าย แต่คุณรู้หรือไม่ว่าทุกการลงทุนนั้นจะมีความเสี่ยง นักลงทุนที่เก่งกาจจะมีเป้าหมายของตนเอง และกำหนดกรอบของระดับความเสี่ยงซึ่งตนเองจะยอมรับได้เสมอ นอกจากนั้นพวกเขาจะใช้กลยุทธ์ที่เหมาะกับสไตล์การลงทุนของตนเอง เพื่อให้การลงทุนประสบผลสำเร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปนัก

สิ่งที่นักลงทุนหน้าใหม่ควรรู้ก่อนเริ่มลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง

คุณเองก็สามารถเป็นนักลงทุนผู้เก่งกาจ และสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองได้เช่นเดียวกัน โดยอาศัยเทคนิค 4 ประการ ซึ่งเราจะนำเสนอให้ต่อไปนี้ เพื่อให้นักลงทุนหน้าใหม่เริ่มการลงทุนของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เเละทำกำไรจากการลงทุนได้สำเร็จเช่นเดียวกัน

  1. ก่อนเริ่มการลงทุน สิ่งแรกที่คุณควรจะทำก็คือ เรียนรู้เรื่องของตลาดหุ้นให้ถ่องแท้ และเมื่อคุณรู้จักและเข้าใจการซื้อขายหลักทรัพย์จนแตกฉานแล้ว คุณก็จะสามารถเอาชนะความกังวลและเริ่มต้นการลงทุนของคุณได้อย่างคุ้มค่า ความมีวินัยและความมุ่งมั่นที่จะไม่หยุดการเรียนรู้ ย่อมจะทำให้คุณบรรลุเป้าหมายที่วางเอาได้แน่นอน
  1. ในช่วงเริ่มต้นนั้น ถ้าคุณเลือกขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ จะถือว่าเป็นการตัดสินใจเลือกที่ฉลาดมาก ๆ คำแนะนำจากที่ปรึกษาย่อมจะช่วยลดความผิดพลาด และประสบการณ์ของที่ปรึกษา จะทำให้คุณสามารถเรียนรู้ได้อย่างก้าวกระโดด และนี่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่อย่างแท้จริง
  1. จงเลือกการลงทุนโดยการสร้างพอร์ตโฟลิโอซึ่งเหมาะกับสไตล์ตนเอง เพราะนักลงทุนแต่ละคนนั้นย่อมจะสามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้แตกต่างกัน คุณควรเลือกระดับความเสี่ยงซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ทางการเงิน และสไตล์ของคุณ ซึ่งจะช่วยลดระดับความเครียด และทำให้การลงทุนของคุณเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากกว่า
  1. คุณต้องมีวินัยที่จะซื้อขายอย่างเป็นระบบ พยายามปรับแต่งพอร์ตการลงทุนของคุณให้สมดุลอยู่เสมอ ตามจังหวะความเป็นไปของตลาดหุ้น และติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด พยายามกระจายความเสี่ยง โดยเลือกแบ่งลงทุนในหุ้นที่มีลักษณะเป็นหุ้นต้นทุนต่ำ หรือแบ่งลงทุนในหุ้นระยะยาวบ้าง เพื่อให้คุณสามารถรับมือกับเหตุฉุกเฉินซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ตลาดหุ้นตกด้วยเหตุไม่คาดฝัน อย่างเช่นสถานการณ์ไวรัสระบาดเป็นต้น

เห็นไหมว่า หากคุณเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ การที่จะสร้างความมั่งคั่งจากการลงทุนให้กับตนเองนั้น ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป ลองนำวิธีการและเทคนิคที่เรานำเสนอนี้ไปลองปรับใช้กับการลงทุนของคุณ เราเชื่อแน่ว่าคุณเองก็จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้เช่นเดียวกัน

ลงทุนยังไงให้เงินงอกงาม ไปแพ้อัตราเงินเฟ้อ

ลงทุนยังไงให้เงินงอกงาม ไปแพ้อัตราเงินเฟ้อ

เงินเฟ้อคือภาวะที่เรามีเงินจำนวนเท่าเดิม แต่ราคาสินค้าแพงขึ้น จึงทำให้ไม่สามารถซื้อสินค้าที่ต้องการได้ สิ่งนี้ถ้าจะให้สรุปแบบเข้าใจง่าย ๆ หมายความว่าเงินมีมูลค่าน้อยลงนั่นเอง ซึ่งอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันพุ่งสูงแบบหยุดไม่อยู่ ซึ่งการเก็บเงินฝากบัญชีออมทรัพย์ที่ได้ดอกเบี้ยแสนต่ำ จึงไม่สามารถรักษามูลค่าของเงินเอาไว้ได้ แต่วิธีที่จะชนะกลไกนี้ยังมีอยู่ด้วยการลงทุนทั้ง 5 แบบต่อไปนี้

  1. ฝากประจำปลอดภาษี

การนำเงินไปฝากประจำจะมีโอกาสได้ดอกเบี้ยมากกว่าฝากเงินออมทรัพย์แบบปกติ ความเสี่ยงในการสูญเสียเงินต้นต่ำ แต่สภาพคล่องจะต่ำกว่าเงินฝากออมทรัพย์อย่างแน่นอน ดังนั้นใครที่มีเงินเย็น ไม่ได้มีแผนระยะสั้นที่จะนำไปใช้ สามารถเลือกบัญชีแบบนี้ได้ ระยะเวลามีตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นอย่าลืมเลือกบัญชีที่ปลอดภาษี จะได้รักษาผลประโยชน์จากเงินฝากเอาไว้ได้แบบครบถ้วน

  1. ซื้อกองทุนรวม

กองทุนรวมเป็นการนำเงินจากนักลงทุนหลาย ๆ คนมาลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หรือเทคโนโลยี ข้อดีคือมีการกระจายความเสี่ยง แถมสามารถลงทุนได้ตั้งแต่ยอดเงินน้อย ๆ ซึ่งผลตอบแทนโดยประมาณมักจะชนะเงินเฟ้อ แต่การลงทุนวิธีนี้มีโอกาสที่จะขาดทุนจนเสียเงินต้นได้เช่นกัน จึงต้องศึกษาข้อมูลเพื่อเลือกกองทุนที่ตนเองรู้สึกเชื่อมั่นมากที่สุด

  1. ลงทุนในหุ้น

การซื้อหุ้นรายตัวคือการซื้อหุ้นของบริษัทที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมเงินจากคนทั่วไปมาใช้ในการลงทุน ซึ่งถ้าบริษัทมีการเติบโต หุ้นที่เราซื้อไว้จะมีราคาสูงขึ้นไปด้วย และจะทำให้ได้ผลตอบแทนจากตรงนี้เป็นจำนวนมาก แต่แน่นอนว่าการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงเช่นกัน จึงต้องศึกษาบริษัทที่ต้องการลงทุนให้ดีว่ามีศักยภาพในการเติบโตอย่างแน่นอน

  1. ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

อสังหาริมทรัพย์อย่างบ้าน ที่ดิน หรือคอนโด ในปัจจุบันมีราคาพุ่งสูงขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาสั้น ๆ จึงทำให้การซื้ออสังหาเพื่อเก็งกำไรเป็นอีกช่องทางในการรักษามูลค่าของเงินไว้ ซึ่งถ้าหากเลือกซื้อในทำเลที่ดี มีมาตรฐานในการก่อนสร้างเหมาะสม จะมีโอกาสเติบโตสูง แต่การลงทุนในทรัพย์สินขนาดใหญ่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนในปริมาณมาก จึงต้องมั่นใจว่าจะมีเงินเย็นมากเพียงพอที่จะลงทุนได้

  1. ซื้อสินทรัพย์อย่างทองคำ

ทองคำเป็นอีกทรัพย์สินที่มีราคาเพิ่มขึ้นไม่แพ้เงินเฟ้อ ลองนึกภาพสมัย 10 ปีที่แล้วราคาทองคำอยู่ที่ประมาณบาทละ 20,000 บาท แต่ในปัจจุบันราคาพุ่งไปถึง 30,000 บาทแล้ว เพราะคนให้ความมั่นใจในคุณค่าของทองคำ แถมยังเป็นทรัพย์สินที่ซื้อขายได้ในสากล ดังนั้นการมีทองสะสมไว้บ้าง จึงไม่ใช่เรื่องน่าเสียดายแม้แต่น้อย

การลงทุนให้ชนะเงินเฟ้อจะทำให้สามารถรักษาความมั่งคั่งที่มีเอาไว้ได้ จึงต้องมองเป้าหมายในการลงทุนและลองเปรียบเทียบวิธีการที่สนใจด้วยตัวเอง อย่าลืมให้ความสำคัญกับความเสี่ยงต่าง ๆ แล้วเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ชีวิตของตนเองให้มากที่สุด แล้วจึงวางแผนอย่างรอบคอบ คุณจะสามารถเป็นผู้ชนะในตลาดการเงินได้อย่างแน่นอน

เปิดวิธีการลงทุนและเก็บออมเพื่ออนาคต

เปิดวิธีการลงทุนและเก็บออมเพื่ออนาคต

การลงทุนและการเก็บออมเป็นวิธีการที่เรียกได้ว่าเป็นวิธีการและแนวทางอันดับต้น ๆ ที่เราจะนึกถึง ถ้าหากว่าเราอยากมีรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่อยากลำบากในอนาคต ซึ่งตามความเป็นจริงนั้น การเพิ่มพูนและเก็บรักษาเงินทอง ทรัพย์สินต่าง ๆ ได้ดีที่สุดก็คือการที่เราใช้เงินที่เรามีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยสร้างเงินในอนาคตและมีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ในยามเกษียณ รวมถึงกรณีฉุกเฉินที่ต้องการใช้เงินเร่งด่วนอีกด้วย ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับวิธีออมและลงทุนที่เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวัน สภาพเศรษฐกิจ และสภาพคล่องทางการเงินของแต่ละคนกัน

3 วิธีการลงทุนและการออมเงินสุดปัง

วิธีแรกก็คือการลงทุนกับสิ่งที่มีความเสี่ยง อย่างที่เราทราบกันดีว่าการลงทุนทุก ๆ อย่างนั้น มีความเสี่ยง โดยความเสี่ยงนั้นจะเพิ่มขึ้นตามผลตอบแทนที่จะได้รับ ซึ่งถ้าผลตอบแทนมาก ความเสี่ยงก็จะสูงตามไปด้วย ในส่วนนี้ขอแนะนำให้เราพิจารณาจากสภาพคล่องทางการเงินของตนเอง ถ้าหากว่าเรามีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ก็สามารถที่จะนำเงินของเราไปลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงได้ ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ การซื้อกองทุนรวม เป็นต้น เพราะถ้าหากว่ามีการผันผวนของหุ้นที่สูง เราก็จะได้รับผลกระทบมากตามไปด้วย โดยสิ่งที่ดีที่สุดก็คือการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ไม่ได้ลงทุนในสิ่ง ๆ เดียว ทั้งนี้เราอาจจะเลือกลงทุนในหุ้นหลาย ๆ ตัว กองทุนหลาย ๆ กองทุน แบ่งเงินลงทุนในสัดส่วนที่มีความพอดีและเหมาะสม ก็จะทำให้เรามีโอกาสสร้างรายได้จากการลงทุน

วิธีที่สองก็คือการออมเงินในรูปแบบของการซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ซึ่งสิ่งที่เราจะลงทุนด้วยนั้นควรจะเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ในอนาคต อย่างบ้าน คอนโด ที่ดิน อาคารสถานที่ต่าง ๆ เป็นต้น ส่วนทรัพย์สินที่มีการชำรุด สึกหรอได้ง่าย และมีแนวโน้มที่จะมีมูลค่าลดลงในอนาคต ให้พยายามหลีกเลี่ยงหรือชะลอการลงทุนในส่วนนี้ไปก่อน

วิธีสามก็คือ การเปิดบัญชีเพื่อการออมโดยเฉพาะ หลาย ๆ คนหาเงินมาได้มากก็จริง แต่มีเงินใช้เพียงแค่เดือนชนเดือน เพราะขาดการเก็บออมเงิน วิธีง่าย ๆ ที่ขอแนะนำคือ นำเงินเข้าบัญชีฝากประจำหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ต่าง ๆ ก็จะทำให้เรานำเงินออกมาใช้ได้ยากขึ้น

วิธีการข้างต้นทั้งหมดนี้คือวิธีการที่มีประสิทธิภาพและสามารถที่จะช่วยทำให้เงินทองของเราเพิ่มพูนมากขึ้นได้จริง ซึ่งต้องอาศัยทักษะ ความรู้ ประสบการณ์มาใช้ให้ถูกจังหวะถูกเวลา และไปในแนวทางที่ถูกต้อง ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ และเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้อีกด้วย

การลงทุนแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน ง่ายกว่าที่คิด!

การลงทุนแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน ง่ายกว่าที่คิด!

การลงทุนแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน ง่ายกว่าที่คิด!

การลงทุนถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามาก ใคร ๆ ก็สามารถที่จะลงทุนเพื่อให้เกิดผลกำไรที่งอกเงยได้แต่ต้องอาศัยประสบการณ์ ความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ สำหรับใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนก็สามารถที่จะเริ่มต้นลงทุนได้อย่างไม่ยาก

สิ่งแรกที่เราควรรู้สำหรับการลงทุนก็คือ ในการลงทุนนั้น เราควรที่จะใช้เงินเย็นหรือเงินที่เราสามารถแบ่งสรรปันส่วนมาใช้ได้โดยไม่เดือดร้อน ไม่กระทบกับสภาพคล่องทางการเงินของเรา พูดง่าย ๆ ก็คือในส่วนนี้เราไม่ควรที่จะกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาใช้ในการลงทุน เพราะถึงแม้ว่าการลงทุนจะมีโอกาสที่ได้รับผลตอบแทนมาก แต่ความเสี่ยงในการที่จะขาดทุนก็สูงตามไปด้วย

การลงทุนที่น่าสนใจสำหรับมนุษย์เงินเดือน

การลงทุนแบบที่ 1 ก็คือ การลงทุนในสลากออมทรัพย์ เป็นวิธีการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย คล้ายกับการซื้อลอตเตอรี่แต่เงินต้นที่ได้ลงทุนไปนั้นไม่ได้สูญเปล่า เสมือนเป็นการออมเงินอีกทางหนึ่งนั่นเอง แต่จะแตกต่างจากการฝากประจำตรงที่มีโอกาสลุ้นรางวัลในแต่ละงวด ทั้งนี้จะได้มากหรือได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับรางวัลที่ได้นั่นเอง ผลตอบแทนในวิธีการนี้ก็จะไม่แน่นอน อาจได้หรือไม่ได้เลยก็ได้ ซึ่งถ้าหากเราฝากเงินด้วยการซื้อสลากครบกำหนดตามเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็น 1 ปี 2 ปี หรือ 3 ปีก็จะได้รับดอกเบี้ยด้วย ถือเป็นวิธีการออมเงินทางอ้อมวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ

การลงทุนแบบที่ 2 ก็คือ การลงทุนในกองทุนรวม การลงทุนประเภทนี้ถือว่ามีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นกว่าแบบแรกคือ มีโอกาสที่จะขาดทุนนั่นเอง ในส่วนนี้เราต้องศึกษาแต่ละกองทุนที่เรามีความสนใจว่ามีแนวโน้มของผลตอบแทนเป็นเช่นไร จำนวนเงินขั้นต่ำที่ใช้ลงทุนต้องเป็นเท่าไหร่ แล้วเรามีความต้องการผลตอบแทนในระยะสั้นหรือระยะยาว ก็ให้เลือกตามความเหมาะสมและความต้องการของตนเอง วิธีการนี้เราจะเป็นเพียงผู้ลงทุน ทางกองทุนจะมีผู้จัดการกองทุนที่เข้ามาบริหารเงินลงทุนของเราทั้งหมด

การลงทุนแบบที่ 3 ก็คือการลงทุนในหุ้น ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในบรรดาการลงทุนที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพราะเราจะต้องเป็นคนบริหารจัดการเองทั้งหมด ทั้งการซื้อหุ้น ขายหุ้น ทั้งนี้หากเราคิดจะลงทุนในหุ้น ก็ควรที่จะใส่ใจในวิธีการลงทุน และติดตามการเปลี่ยนแปลงข่าวสารเศรษฐกิจ การผันผวนของหุ้นอย่างสม่ำเสมอ

จะเห็นได้ว่าการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น แต่การที่เราไม่คิดจะเสี่ยงหรือลงทุนอะไรเลย ก็คงไม่สามารถที่จะเพิ่มพูนทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ได้ ดังนั้นหากว่าเรามีความตั้งใจ ใฝ่หาความรู้ข้อมูลต่าง ๆ และประเมินความเสี่ยงในการลงทุนอยู่เสมอ การลงทุนก็จะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวของมนุษย์เงินเดือนอีกต่อไป

เหตุผลที่คนเงินน้อยควรเลือกออมหุ้น

เหตุผลที่คนเงินน้อยควรเลือกออมหุ้น

การเก็บออม ถือเป็นแผนการเงินที่ควรเริ่มต้นทำตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่ออนาคตที่มั่นคง ส่วนวิธีการที่จะสามารถเก็บเงินให้ได้ตามเป้าหมายโดยเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับวงเงินที่ตั้งใจจะเก็บออมในแต่ละเดือน ความเสี่ยงที่รับได้ และโอกาสรับผลตอบแทนในการออมเงินที่จะแตกต่างไปในแต่ละรูปแบบการออม

หากมีเงินเก็บออมในแต่ละเดือนไม่มาก เพราะเพิ่งเริ่มต้นทำงานและอายุยังน้อย แต่ต้องการผลตอบแทนเงินออมสูง ๆ ในอนาคต แนะนำให้เลือกวิธี “การออมหุ้น” ซึ่งถือเป็นการออมด้วยการลงทุน

การออมหุ้นคืออะไร

เป็นวิธีการลงทุนหุ้นสะสมไว้ในบัญชีของตนเอง (Port) เป็นประจำทุกเดือน เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนหุ้นที่สะสมไว้ก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสได้รับส่วนต่างของราคา (กำไร) สูงกว่า เมื่อเทียบกับการนำเงินจำนวนเท่ากันไปฝากไว้ในธนาคาร นอกจากนี้ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในระหว่างการออมหุ้น ด้วย ”เงินปันผล” ที่บริษัทจะจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น หรือ สิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น การให้หุ้นเพิ่มทุนกับผู้ถือหุ้น เป็นต้น

ทั้งนี้การเลือกหุ้นสำหรับโครงการออมหุ้นนั้น ส่วนใหญ่จะได้รับการแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต และแน่นอนว่าไม่ใช่หุ้นในกลุ่มเก็งกำไร หลายคนเลือกหุ้นจากกลุ่ม SET50 เพื่อเก็บออมไว้ในระยะยาว

วิธีการออมหุ้น

1. กำหนดวงเงินที่จะออมหุ้น ส่วนใหญ่บริษัทหลักทรัพย์ที่มีโครงการให้ออมหุ้นนั้น จะกำหนดวงเงินขั้นต่ำไว้ที่เดือนละ 1,000 บาท ซึ่งเป็นวงเงินลงทุนที่ไม่สูงมากและเหมาะกับคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน ที่สำคัญการออมหุ้นหรือการซื้อหุ้นเก็บไว้นั้น ย่อมมีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง ซึ่งกลุ่มคนที่อายุน้อยจะเป็นกลุ่มที่รับความเสี่ยงได้ดีกว่าคนที่อายุมาก ดังนั้นจึงเป็นวิธีการเก็บออมที่เหมาะกับคนอายุน้อยและคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน

2. กำหนดจำนวนหุ้นที่จะซื้อเก็บเข้า Port ของตัวเอง โดยปกติบริษัทหลักทรัพย์ที่เปิดโครงการให้ออมหุ้นจะกำหนดให้เลือกซื้อหุ้นเก็บได้เดือนละไม่เกิน 20 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตัวเดิม ๆ ในวันที่เดียวกันของทุกเดือน แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเก็บหุ้นด้วยวิธีนี้ อาจเริ่มด้วยการเก็บหุ้นไม่เกิน 2-3 ตัวก่อน เพื่อจะได้มีโอกาสศึกษาข้อมูลพื้นฐานหุ้นที่เลือกให้ชัดเจน เพราะไม่ว่าจะเลือกลงทุนด้วยวิธีใดก็ต้องทำความเข้าใจพื้นฐานของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้ดีเสมอ

3. เลือกวันเวลาในการซื้อหุ้น โดยกำหนดไว้ให้ชัดเจนว่าทุกวันที่ใดของเดือนที่จะให้บริษัทดำเนินการตัดเงินชำระค่าหุ้นที่จะออม ซึ่งจะมีการตัดบัญชีในวงเงินเท่า ๆ กันทุกเดือน เพื่อซื้อหุ้นในกลุ่มที่เลือกไว้ สะสมไปเรื่อย ๆ ทั้งนี้ควรกำหนดให้ชัดเจนถึงบัญชีที่จะใช้ในการจ่ายเงินซื้อหุ้นและการรับเงินในกรณีที่บริษัทหุ้นนั้น ๆ จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นด้วย

สิ่งสำคัญสำหรับการออมหุ้น คือไม่ควรตื่นตระหนกกับการขึ้นลงของราคาหุ้นที่ออมไว้ เพราะเป้าหมายของการออมด้วยวิธีนี้คือการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต การเปลี่ยนแปลงของราคาที่เกิดขึ้นประจำวัน เป็นเรื่องที่จะต้องมองข้าม เพื่อรอผลตอบแทนที่ดี และกำไรเป็นกอบเป็นกำในอนาคต

การออมหุ้นคืออะไร

อาหารทานเล่น ธุรกิจน่าลงทุน ปี พ.ศ.2563

อาหารทานเล่น ธุรกิจน่าลงทุน ปี พ.ศ.2563

ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาพการเงิน เศรษฐกิจและสังคม สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การทำงานประจำทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไม่ได้เป็นงานที่สามารถการันตีถึงความมั่นคงในอาชีพอีกต่อไป ทำให้หลายคนเริ่มมองหาช่องทางในการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เสริม หรือรองรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้

การลงทุน ในการขายสินค้าเป็นช่องทางในการลงทุนที่หลายคนให้ความสนใจ หนึ่งในประเภทสินค้าที่ลงทุนไม่เยอะ ทำง่ายและขายได้กำไร โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นสินค้าประเภทของทานเล่นต่าง ๆ ซึ่ง 5 ธุรกิจอาหารทานเล่น ที่น่าลงทุน มีดังนี้

5 ธุรกิจอาหารทานเล่น

ไก่ป๊อบ เป็นอาหารว่างที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายคนโปรดปราน สามารถทานคู่กับน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ รวมถึงยังทานเป็นอาหารจานหลักคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ และน้ำพริกหรือน้ำจิ้มได้ เงินลงทุนซื้อไก่ป๊อบผสมสำเร็จพร้อมทอดอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 100 – 200 บาท แต่หากทำเองจะอยู่ที่ประมาณ 80 – 100 บาทต่อกิโลกรัม โดยส่วนใหญ่ขายในท้องตลาดลูกละ 1 – 2 บาท

แซนด์วิชคลีน เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพเป็นที่นิยมมากทำง่ายเพราะไม่ต้องสรรหาวัตถุดิบเยอะและสามารถสร้างกำไรได้ดี โดยต้นทุนต่อขนมปัง 1 ถุง รวมวัตถุดิบอื่น ๆ อยู่ที่ประมาณ 150 – 200 บาท (ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใส่) ขายได้ 18 คู่ คู่ละประมาณ 25 บาท

รวมมิตร หน้าร้อนใกล้เข้ามาเท่าไหร่ขนมรวมมิตรใส่น้ำแข็งเย็น ๆ ราดด้วยน้ำหวานและนมข้นเป็นเมนูสุดโปรดของทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายคน โดยวัตถุดิบในการทำรวมมิตรสามารถหาซื้อได้จากท้องตลาดทั้งหมด โดยราคาที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 20 – 30 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณวัตถุดิบและขนาดของภาชนะที่ใส่

เฟรนช์ฟรายด์ ของทอดแสนอร่อยที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคก็สามารถทานได้เพลิน ๆ เงินลงทุนไม่สูงมากแต่ทำกำไรได้ดี รวมถึงมีขั้นตอนในการทำไม่ยุ่งยาก สามารถหาซื้อวัตถุดิบเฟรนช์ฟรายด์ปรุงสำเร็จพร้อมทอดได้จากห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไป เมื่อทอดเสร็จราดด้วยซอสหรือเพิ่มผงแต่งรสต่าง ๆ ลงไปเพื่อความแปลกใหม่ โดยนำมาขายแบ่งเป็นถ้วย ถ้วยละ 20 – 25 บาท หรืออาจสูงกว่านี้ได้ขึ้นอยู่กับท็อปปิ้งต่าง ๆ ที่เพิ่มเข้าไป

ยำ เป็นอาหารสตรีทฟู้ดที่ได้รับความนิยมทั่วทุกพื้นที่ ต้นทุนอาจสูงกว่าอาหารว่างอื่น ๆ แต่สามารถขายได้กำไรมากกว่า รวมถึงหากทำได้อร่อยก็สามารถสร้างฐานลูกค้าประจำได้ด้วย โดยส่วนใหญ่ยำ 1 ถุง จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 50 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับปริมาณและวัตถุดิบที่ใช้

อาหารทานเล่นทั้ง 5 เมนู เป็นเพียงไอเดียส่วนหนึ่งเท่านั้น หากคุณมีเมนูพิเศษประจำตัวที่สามารถทำได้ดีอาจเป็นอีกทางเลือกที่เหมาะต่อการลงทุนเพื่อขายทำกำไรได้เช่นกัน

5 ธุรกิจอาหารทานเล่น