ธุรกิจอะไรน่าลงทุนหลังไวรัสโควิด-19 ระบาด

ธุรกิจอะไรน่าลงทุนหลังไวรัสโควิด-19 ระบาด

จากการที่เชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายทั่วโลก ทำให้ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและการลงทุนหลายประเภท เมื่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและขาดสภาพคล่องตัวอย่างมาก ทำให้นักธุรกิจจำนวนมากต้องศึกษาและปรับตัวอย่างมาก โดยเฉพาะการพิจารณาลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ หลังจากเวลานี้ไป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าหลังจากนี้ 1-2 ปีจะมีธุรกิจที่น่าลงทุน ดังนี้

1.ธุรกิจขายอาหาร
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าคนทั่วโลกมีการใช้ระบบออนไลน์สั่งอาหารมากขึ้น และใส่ใจสุขอนามัยเลือกรับประทานอาหารจากร้านที่ทำสดใหม่ สะอาด มีมาตรฐานสูง และมีบริการพร้อมส่งไปยังที่อยู่ลูกค้าเพื่อความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในลักษณะเช่นนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นร้านอาหารที่ใส่ใจเรื่องความสะอาดและหากยิ่งเป็นอาหารเพื่อสุขภาพด้วย ก็จะยิ่งได้รับความสนใจอุดหนุนจากผู้บริโภคมากขึ้น

2.ธุรกิจการจัดส่งสินค้า
การขนส่งสินค้ามีอัตราการเติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะภายในประเทศที่ผู้คนลดการเดินทางสัญจรเพื่อป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่าง ๆ และช่วยประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการรัดเข็ดขัดในภาวะที่คนส่วนใหญ่มีรายได้ลดลงด้วย ผู้ที่ทำธุรกิจจัดส่งสินค้าทั้งอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ในครัวเรือน สินค้าไอที ฯลฯ จะมีลูกค้ารอใช้บริการมากขึ้นอย่างแน่นอน

3.ธุรกิจออนไลน์
การทำเว็บไซต์รับคำสั่งซื้อสินค้าเป็นสิ่งจำเป็น ตอบโจทย์พฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ของผู้คนทั่วโลก ที่สำคัญคือ การพัฒนาระบบการสั่งซื้อที่สะดวกรวดเร็วและการรักษาความปลอดภัยให้แก่ความลับลูกค้า เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต จะช่วยให้มีโอกาสเติบโตได้มาก นอกจากนี้การเปิดเพจ Facebook หรือ Instagram ยังเป็นอีกช่องทางที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายขึ้นด้วย

4.ธุรกิจเกษตรเชิงท่องเที่ยว
ผู้ที่มีความชำนาญในการเพาะปลูกพืชสามารถทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว ด้วยการวางแผนพื้นที่เพาะปลูกให้เหมาะสม จัดโปรแกรมให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมสวนเกษตรได้เพื่อเพิ่มยอดขาย ทั้งควรจ้างทีมทำเว็บไซต์ที่มีความสามารถและประสบการณ์สูงในการออกแบบและวางระบบการจัดซื้อสินค้าเกษตรจากฟาร์มโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง จะเพิ่มโอกาสขายได้มากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ

5.ธุรกิจขายตรง
การลงทุนทำธุรกิจเองอาจมีความเสี่ยงสูง ผู้ที่เป็นมือใหม่จึงควรเลือกทำตามระบบของบริษัทขายตรง เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ และมีแนวโน้มสูงที่จะมีรายได้แบบ passive income และมีอิสระในการใช้เวลาในอนาคตข้างหน้าด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องศึกษาระบบและข้อมูลสินค้าอย่างรอบคอบ และระวังการแอบอ้างจากระบบแชร์ลูกโซ่

จะเห็นได้ว่าการลงทุนมีหลายรูปแบบที่น่าทำในช่วงหลังไวรัสโควิด-19 ระบาด ขอเพียงเลือกสิ่งที่คุณชอบหรือถนัด และมุ่งมั่นพัฒนาฝึกฝนประสบการณ์ให้มากขึ้น ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูงแน่นอน

ลงทุนอย่างไรให้มีโอกาสรอดมากกว่าเจ๊ง

ลงทุนอย่างไรให้มีโอกาสรอดมากกว่าเจ๊ง

การลงทุนทำธุรกิจทุกประเภท ผู้ลงทุนย่อมคาดหวังให้ธุรกิจเติบโตได้ดี เจริญรุ่งเรือง มีลูกค้าเก่าและใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ใช่ทุกรายจะได้ตามที่หวัง เรามาดูกันว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแนะนำหลักการลงทุนอย่างไรให้มีโอกาสรอดมากกว่าเจ๊ง

1.ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจถ่องแท้
การทำธุรกิจนั้นต้องเริ่มจากสิ่งที่ตนเองเข้าใจเป็นอย่างดี เช่น การลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ควรศึกษาระบบบัญชีของแต่ละหุ้นก่อนลงทุน เลือกบริษัทที่คุ้นเคย หรือหากลงทุนเปิดโรงงานทำกิจการของตัวเองก็ต้องรู้อย่างลึกซึ้งตั้งแต่การเลือกสถานที่เพาะปลูก คัดเลือกคุณภาพวัตถุดิบ การสร้างมาตรฐานกระบวนการผลิต การทำบัญชีและภาษี การส่งเสริมการตลาด การจัดส่ง ฯลฯ เพื่อให้เงินทุนที่จ่ายไปมีโอกาสได้ผลกำไรกลับมามากที่สุด

2.หาแหล่งเงินทุนที่ดอกเบี้ยต่ำ
ปัจจุบันมีสถาบันการเงินที่สนับสนุนการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหม่ในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญช่วยแนะนำแผนการลงทุนและให้เงินลงทุนแบบคิดดอกเบี้ยต่ำ ผู้ที่ต้องการประหยัดต้นทุนการทำธุรกิจและอยากได้คำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ ควรเข้าหาสถาบันเหล่านี้เพื่อศึกษาข้อมูล จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ส่วนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ควรใช้เงินออมเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้กู้เงินหรือจำนำจำนองของมีค่าเพื่อนำเงินมาเล่นหุ้น เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกปรับสูญเสียทรัพย์สินหากไม่เป็นไปตามแผนที่คาดไว้

3.มีระบบการจัดการที่ดีรอบด้าน
ระบบจัดการที่ดี หมายถึง การวางแผนธุรกิจที่มีทั้งระยะสั้น กลางและยาวอย่างเป็นรูปธรรม การควบคุมต้นทุนและคุณภาพของสินค้าอย่างรัดกุม การทำระบบบัญชีเบิกจ่ายและระบบภาษีที่รอบคอบ การวางแผนการตลาดที่ต้องจัดสรรงบประมาณแยกไปต่างหาก ฯลฯ หากทำได้อย่างเหมาะสม จะมีโอกาสที่ธุรกิจจะรอดมากกว่าเจ๊ง เพราะเมื่อพบความผิดปกติจะแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที

4.ลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์
หากต้องการทดลองบริหารงาน หรืออยากจำกัดความเสี่ยงให้มากที่สุด ควรเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีผู้ทำเอาไว้เป็นแบบอย่างแล้ว นั่นคือ การซื้อแฟรนไชส์ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายรายเดือนหรือแรกเข้าหลักพันถึงล้าน เช่น ธุรกิจขายอาหาร ธุรกิจปั๊มน้ำมัน สินค้าแฟชั่น ฯลฯ ซึ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญในการกำกับดูแลและเป็นที่ปรึกษาให้แก่คุณได้

5.การตลาดออนไลน์
ในปัจจุบันผู้คนนิยมซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องเปิดเพจในเฟซบุ๊กเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และต้องโฆษณาหรือทำ SEM (search engine marketing) เพื่อประชาสัมพันธ์แบรนด์เป็นช่วง ๆ กระตุ้นให้ผู้คนรู้จักแบรนด์ ทั้งนี้ ควรจ้างแอดมินประจำเพจ เพื่อให้บริการตอบกลับลูกค้าด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว ซึ่งจะสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าได้อย่างมาก

จะเห็นได้ว่า การทำธุรกิจให้มีโอกาสรอดมากกว่าเจ๊ง ต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้และวางแผนหลายด้านพร้อมกัน ซึ่งต้องมีความอดทนและมุ่งมั่น จึงจะมีผลตอบแทนกลับมาตามที่ต้องการและป้องกันความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ได้

ออมเงินแสนอย่างเศรษฐี แบบมนุษย์เงินเดือน

ออมเงินแสนอย่างเศรษฐี แบบมนุษย์เงินเดือน

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ปัญหาใหญ่ของมนุษย์เงินเดือนก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องเงินออม เพราะว่าส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระหนี้สินและรายจ่ายที่มากเกินกว่ารายได้ประจำ ทำให้หลายคนต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หาอาชีพเสริม หรือทำงานนอกเวลา เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งนอกจากวิธีการประหยัดแบบรัดเข็มขัดแล้ว ใครที่กำลังประสบปัญหาเก็บเงินไม่ได้ ออมเงินไม่อยู่ ลองดูเทคนิคที่เราแนะนำแล้วเลือกเอาไปใช้สักสองสามวิธี เลือกที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง เผื่อจะเป็นทางเลือกที่ดีเหมาะกับคุณ

  • เริ่มเก็บเงินเศษหลักร้อยจากจำนวนเต็มของเงินเดือนมาเป็นเงินออม เช่น เงินเดือน 17,500 ให้แยกเศษ 500 มาเป็นออม ส่วนจะเก็บใส่กระปุกออมสินหรือฝากธนาคารก็แล้วแต่ความสะดวก
  • เก็บเงินออมตามวันที่ โดยเริ่มจากวันที่ 1 ของแต่ละเดือน เช่น วันที่ 1 หยอดกระปุก 1 บาท พอถึงวันที่ 31 ก็หยอด 31 บาท ทำอย่างนี้วนไปทุก ๆ เดือน พอครบ 365 วัน ก็จะมีเงินออมราว 5 พันกว่าบาทแล้ว
  • แยกเงินทอนที่ได้จากค่าโดยสารรถเมล์ หรือซื้อของใช้ที่ร้านสะดวกซื้อหรือตลาดสด หยอดกระปุกเก็บไว้ทุกครั้งที่มีการใช้จ่าย พอสิ้นเดือนก็มานับและนำไปฝากธนาคาร ซึ่งอาจทำให้หลายคนประหลาดใจกับจำนวนเงินออมด้วยวิธีนี้ก็เป็นได้
  • ออมเงินเพิ่มแบบรายสัปดาห์ เช่น ตั้งใจออมเงินสัปดาห์ละ 10 บาท สัปดาห์แรกต่อไปก็ต้องหยอดเพิ่มเป็น 20 บาท และ 30 บาท จนครบในสัปดาห์ที่ 52 ซึ่งต้องหยอดเงิน 520 บาท สิ้นปีเราจะมีเงินเก็บ ประมาณ 13,000 บาท หรือถ้าใครมีรายได้เสริมและสามารถออมได้มากกว่านี้ ก็จะยิ่งมีเงินออมมากขึ้น
  • แบ่งเงินใส่ถุงแยกเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับในแต่ละวัน วิธีนี้กำลังเป็นที่นิยม เช่น หากเราวางแผนใช้เงินไม่เกินวันละ 200 บาท สิ้นเดือนเมื่อเงินเดือนออก ก็ให้หักเงินออมและหักรายจ่ายสำคัญไว้ ส่วนที่เหลือแยกใส่ถุงไว้ให้ครบ 1 เดือน แล้วประหยัดการใช้ ถ้าวันไหนมีเงินเหลือก็เอามาหยอดกระปุกเป็นเงินออมเพิ่มขึ้นได้อีก

สิ่งสำคัญคือการหักห้ามใจไม่ให้เผลอใช้จ่ายเกินกำลัง และลองทำสมุดบันทึกรายรับ-รายจ่ายในแต่ละวัน เพื่อที่เราจะได้มีข้อมูลในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งจะช่วยให้มีเงินออมเพิ่มมากขึ้น หากคุณทำได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย อนาคตเศรษฐีคนใหม่คงอยู่ไม่ไกลเกินฝันอย่างแน่นอน แต่ว่าจะช้าหรือเร็วนั้นก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของคุณเองว่าจะใจแข็งและอดทนต่อสิ่งฟุ่มเฟือยที่มีกลยุทธ์ทางการตลาดมาล่อตาล่อใจ ให้คุณเอนเอียงไปตามได้มากน้อยสักแค่ไหน ขอเป็นกำลังใจให้คนที่ตั้งใจแน่วแน่ เริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้ ให้ประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้

การลงทุนแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน ง่ายกว่าที่คิด!

การลงทุนแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน ง่ายกว่าที่คิด!

การลงทุนแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน ง่ายกว่าที่คิด!

การลงทุนถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามาก ใคร ๆ ก็สามารถที่จะลงทุนเพื่อให้เกิดผลกำไรที่งอกเงยได้แต่ต้องอาศัยประสบการณ์ ความรู้ ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ สำหรับใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนก็สามารถที่จะเริ่มต้นลงทุนได้อย่างไม่ยาก

สิ่งแรกที่เราควรรู้สำหรับการลงทุนก็คือ ในการลงทุนนั้น เราควรที่จะใช้เงินเย็นหรือเงินที่เราสามารถแบ่งสรรปันส่วนมาใช้ได้โดยไม่เดือดร้อน ไม่กระทบกับสภาพคล่องทางการเงินของเรา พูดง่าย ๆ ก็คือในส่วนนี้เราไม่ควรที่จะกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาใช้ในการลงทุน เพราะถึงแม้ว่าการลงทุนจะมีโอกาสที่ได้รับผลตอบแทนมาก แต่ความเสี่ยงในการที่จะขาดทุนก็สูงตามไปด้วย

การลงทุนที่น่าสนใจสำหรับมนุษย์เงินเดือน

การลงทุนแบบที่ 1 ก็คือ การลงทุนในสลากออมทรัพย์ เป็นวิธีการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย คล้ายกับการซื้อลอตเตอรี่แต่เงินต้นที่ได้ลงทุนไปนั้นไม่ได้สูญเปล่า เสมือนเป็นการออมเงินอีกทางหนึ่งนั่นเอง แต่จะแตกต่างจากการฝากประจำตรงที่มีโอกาสลุ้นรางวัลในแต่ละงวด ทั้งนี้จะได้มากหรือได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับรางวัลที่ได้นั่นเอง ผลตอบแทนในวิธีการนี้ก็จะไม่แน่นอน อาจได้หรือไม่ได้เลยก็ได้ ซึ่งถ้าหากเราฝากเงินด้วยการซื้อสลากครบกำหนดตามเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็น 1 ปี 2 ปี หรือ 3 ปีก็จะได้รับดอกเบี้ยด้วย ถือเป็นวิธีการออมเงินทางอ้อมวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ

การลงทุนแบบที่ 2 ก็คือ การลงทุนในกองทุนรวม การลงทุนประเภทนี้ถือว่ามีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นกว่าแบบแรกคือ มีโอกาสที่จะขาดทุนนั่นเอง ในส่วนนี้เราต้องศึกษาแต่ละกองทุนที่เรามีความสนใจว่ามีแนวโน้มของผลตอบแทนเป็นเช่นไร จำนวนเงินขั้นต่ำที่ใช้ลงทุนต้องเป็นเท่าไหร่ แล้วเรามีความต้องการผลตอบแทนในระยะสั้นหรือระยะยาว ก็ให้เลือกตามความเหมาะสมและความต้องการของตนเอง วิธีการนี้เราจะเป็นเพียงผู้ลงทุน ทางกองทุนจะมีผู้จัดการกองทุนที่เข้ามาบริหารเงินลงทุนของเราทั้งหมด

การลงทุนแบบที่ 3 ก็คือการลงทุนในหุ้น ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในบรรดาการลงทุนที่ได้กล่าวมาข้างต้น เพราะเราจะต้องเป็นคนบริหารจัดการเองทั้งหมด ทั้งการซื้อหุ้น ขายหุ้น ทั้งนี้หากเราคิดจะลงทุนในหุ้น ก็ควรที่จะใส่ใจในวิธีการลงทุน และติดตามการเปลี่ยนแปลงข่าวสารเศรษฐกิจ การผันผวนของหุ้นอย่างสม่ำเสมอ

จะเห็นได้ว่าการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น แต่การที่เราไม่คิดจะเสี่ยงหรือลงทุนอะไรเลย ก็คงไม่สามารถที่จะเพิ่มพูนทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ได้ ดังนั้นหากว่าเรามีความตั้งใจ ใฝ่หาความรู้ข้อมูลต่าง ๆ และประเมินความเสี่ยงในการลงทุนอยู่เสมอ การลงทุนก็จะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวของมนุษย์เงินเดือนอีกต่อไป

เคล็ดลับการลงทุน ทำธุรกิจให้เติบโตตลอดกาล

เคล็ดลับการลงทุน ทำธุรกิจให้เติบโตตลอดกาล

เคล็ดลับการลงทุน ทำธุรกิจให้เติบโตตลอดกาล

การลงทุนอะไรก็ตาม ผลลัพธ์ในการลงทุนส่วนใหญ่แบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม กล่าวคือ กลุ่มแรก เมื่อลงทุนทำมาค้าขายหรือทำธุรกิจจะมีการขาดทุน กลุ่มที่สอง ทำธุรกิจไม่ถึงขั้นขาดทุนแต่ได้กำไรน้อยกว่าที่คิดไว้ กลุ่มที่สาม ลงทุนทำธุรกิจได้กำไรเท่าที่คิดไว้ และกลุ่มที่สี่ เมื่อตั้งใจหรือวางแผนที่จะลงทุนแล้วลงมือทำจริง ปรากฏว่า ได้กำไรไหลมาเทมาเกินความคาดหมายไว้ เช่น คิดว่าได้กำไรสักประมาณ 1 ล้าน แต่กลายเป็นกำไรสิบล้านหรือร้อยล้าน จนทำให้คนที่ลงทุนเกิดความสงสัยเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาแบ่งปันเกี่ยวกับลักษณะการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจพร้อมเคล็ดลับการลงทุนทำธุรกิจให้เติบโตตลอดกาล ดังต่อไปนี้

ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ

เราคิดว่าคุณเคยสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจกันมาบ้างแล้วว่า วงจรธุรกิจในบางปีจะเป็นดาวรุ่ง พอเวลาผ่านไปหนึ่งปี หรือสองปีอาจจะอยู่ในช่วงขาลงก็ได้ ในทางกลับกันมีธุรกิจอื่นกลับอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะฉะนั้น ให้คุณถามตัวเองว่า คุณจะทำธุรกิจประมาณหนึ่งหรือสองปี แล้วล้มเลิกหรือไม่ ถ้าคำตอบพบว่า ไม่ใช่ คุณก็จะต้องทุ่มเทในการเรียนรู้เข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนการทำธุรกิจนั้น ถึงแม้ว่าการลงทุนธุรกิจจะเป็นแบบเดียวกันในประเทศสักหมื่นธุรกิจก็ตาม

เคล็ดลับการลงทุนทำธุรกิจให้เติบโตตลอดกาล

คนส่วนใหญ่แล้วเมื่อมีการลงทุนทำธุรกิจ มักมองไปที่ผลลัพธ์ หมายความว่า อยากให้มีลูกค้าและได้กำไรมาก ๆ ด้วยการคอยลุ้นว่าเมื่อไหร่จะมีลูกค้ามาสั่งสินค้าและจ่ายเงินให้กับธุรกิจที่ทำอยู่ แต่ในความเป็นจริง การลงทุนสร้างเส้นทางของธุรกิจนั้น ต้องให้ความสำคัญใน 3 เรื่องนี้ คือ สินค้าต้องมีคุณภาพดี ส่งตรงเวลาและราคายุติธรรมถึงแม้ว่าอาจจะไม่ใช่ราคาถูกที่สุดก็ตามหรือที่เรียกว่า “คุ้มราคา” ลูกค้าก็จะเพิ่มมากขึ้นอย่างสม่ำเสมอ บางทีจนรับงานไม่ทันด้วยซ้ำไป ถึงแม้ว่ามีบริษัทคู่แข่งเป็น 10 ราย ลูกค้าก็วิ่งมาหาบริษัทของคุณ ในทางตรงข้าม หากการทำธุรกิจแบบลวก ๆ ก็จะส่งผลให้ลูกค้าหนีได้

เคล็ดลับการลงทุนทำธุรกิจให้เติบโตตลอดกาล ไม่ว่าใครก็มีความต้องการกำไรมาก ๆ แต่สิ่งสำคัญควรคำนึงถึง คือ ความถูกต้องหรือไม่ได้เอาเปรียบใคร นอกจากนี้ให้คุณจดจำประโยคเตือนใจ คือ “ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก” ซึ่งเป็นประโยคที่มีความหมายว่า การลงทุนทำธุรกิจเหนื่อยตอนต้นแต่จะสบายตอนปลายเพียงคุณทำธุรกิจที่ดีจริง ด้วยการมุ่งการประกอบเหตุที่ดี แล้วสังเกตผลว่าเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าตรงตามอย่างที่คิดไว้ แสดงว่าใช้ได้ แต่หากไม่ตรงก็มาปรับการประกอบเหตุใหม่ แล้วผลดีก็จะเกิดขึ้นตามมานั่นเอง

อยากรวย ต้องคิดแบบคนรวย

อยากจะรวย จะต้องคิดอย่างคนรวย

ความรวยเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็ปรารถนา หากได้ตั้งคำถามกับทุกคนในโลกก็คงตอบว่า อยากรวย แต่ที่ไม่รวยเพราะได้มีความคิดบางอย่างเป็นตัวขัดขวางไม่ให้ก้าวไปถึงความรวยในจุดที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ ถ้าใครอยากรวยก็ให้เริ่มต้นศึกษาแนวความคิดของคนรวยและนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเอง ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมองและปรับวิธีการบริหารเงินให้ดีกว่าเดิม

แนวคิดที่ 1 มีทัศนคติที่ดีต่อเงินทองหรือความร่ำรวย

คนส่วนใหญ่ที่ไม่รวย มักมีความคิดลบต่อคนที่ร่ำรวยหรือเงินทอง เช่น คิดว่าคนรวยมีการเอารัดเอาเปรียบ คดโกง เงินซื้อความสุขไม่ได้ ในทางตรงข้ามคนรวยมีทัศนคติคิดว่า เงินที่หามาได้นั้น สามารถไปด้วยกันกับความดีและความสุข

แนวคิดที่ 2 เชื่อว่าต้องร่ำรวย มีความมั่งคั่ง

คนรวยมีความเชื่อว่า ในเมื่อเกิดมาแล้วจะต้องมีความร่ำรวยหรือมีความมั่งคั่งจะได้ไม่เสียชาติเกิด โดยเขามองว่า “คนอื่นทำได้ เขาก็ทำได้เช่นกัน” ทำให้คนรวยชอบศึกษาหาความรู้จนสามารถสร้างความร่ำรวยได้โดยวิธีการหาทรัพย์แบบสุจริต ซึ่งบางคน ก่อนที่จะเป็นคนรวย ได้เริ่มต้นจากการทำงานเป็นลูกน้องในองค์กรเพื่อที่จะได้ศึกษาหาประสบการณ์ พอมาถึงวันที่มีความรู้และความสามารถเพียงพอแล้ว ก็จะผันตัวเองเป็นเจ้าของกิจการ แถมยังเป็นเจ้าของกิจการที่ดีเพราะเคยเป็นลูกน้องมาก่อน และหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากรวย คุณจะต้องเปิดใจในความรู้ใหม่ ๆ หมายความว่า ต้องไม่คิดว่าตัวเองมีความรู้พอแล้ว หรือไม่เป็นคนประเภทที่เรียกว่าน้ำเต็มแก้ว ถ้าคิดแบบนี้แล้วคุณจะเปิดใจศึกษาความรู้เช่นเดียวกับคนรวย

แนวคิดที่ 3 กล้าตัดสินใจหรือกล้าที่จะเสี่ยง

หากอยากร่ำรวยต้องไม่กังวลและหวาดกลัว ไม่ว่าจะเป็น กลัวความล้มเหลว กลัวขาดทุน แต่ให้ลุยหรือทำไปก่อนเหมือนคนรวย เพราะคนรวยแสวงหาหนทาง วางแผนและลงมือทำแบบไม่รอโอกาสจากการซื้อลอตเตอรี่ รอโชคชะตาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด

แนวคิดที่ 4 มีความมุ่งมั่น เข้มแข็งและความอดทนต่ออุปสรรค

ข้อสังเกตง่ายๆเลยคือ ลองดูเหล่านักเตะในทีมฟุตบอลชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล แมนซิตี้ บาร์ซ่า นักเตะที่รวยจากการค้าแข้งไม่มีคนไหนไม่สู้อุปสรรค ไม่อดทน คนรวยจะมองเป้าหมายเป็นหลัก ทำให้อุปสรรคที่เข้ามากลายเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเลย เนื่องจากเป้าหมายที่ทำอยู่ตอนนี้มีความยิ่งใหญ่กว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอุปสรรค แต่สำหรับใครที่ยังไม่รวย หลายคนอาจเกิดความอิจฉา ถ้าเป็นแบบนี้ควรเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ แล้วให้สังเกตคนรวยว่า เขามีคุณสมบัติอะไรในสิ่งที่เราไม่มี เช่น ความมุ่งมั่น ความเข้มแข็งต่ออุปสรรค เป็นต้น แล้วนำคุณสมบัติของคนรวยมาเป็นต้นแบบปรับใช้ในชีวิตตัวเอง

เมื่อมี 4 แนวความคิดของคนรวยแล้ว สิ่งสำคัญที่พลาดไม่ได้เลย และไม่แพ้กับแนวคิดดังกล่าวข้างต้น คือ การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ใช้เงินเกินตัว โดยการแบ่งเงินออกเป็น 6 ส่วน คือ ส่วนใช้จ่าย เที่ยว เงินเก็บ เงินทำบุญ ส่วนอีกสองส่วนคนรวยจะเน้นมากเพราะทำให้เงินงอกเงยได้ คือ ส่วนการศึกษาเรียนรู้กับส่วนไว้ลงทุน ดังนั้น การบริหารเงินเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามซึ่งคุณสามารถสังเกตได้จากคนรวยบางคนได้ขึ้นรถไฟฟ้าแทนรถยนต์ส่วนตัว ใช้เงินหรือบัตรเครดิตตามความจำเป็น ทำให้ไม่สร้างหนี้ เพราะเขาได้ทำบัญชีรายรับและรายจ่ายอย่างชัดเจนทำให้ใช้เงินอย่างมีสติได้ดีเลยทีเดียว

4 เรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนทำการเกษตร

จะลงทุนการเกษตร ต้องรู้

การเกษตรอยู่คู่สังคมไทยมาตั้งแต่อดีตเพราะมีทรัพยากรที่สมบูรณ์อยู่มากมาย หากใช้อย่างรู้คุณค่าก็จะไม่มีวันอดตายแน่นอน ซึ่งปัจจุบันมีคนที่ประกอบอาชีพเกษตรกรลดลงจากหลายสิบปีก่อนมาก แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อคนรุ่นใหม่ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนหลาย ๆ คนสนใจในอาชีพนี้ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกจากการทำงานประจำมาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัว ต้องวางแผนให้ดีเพราะอาชีพนี้ ส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นผลกำไรได้อย่างรวดเร็ว หากใครที่ไม่เข้าใจและขาดการวางแผนที่ดีก็อาจล้มเลิกความคิดไปก่อนที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จตามที่ตั้งใจก็เป็นได้ มาดูกันว่า 4 เรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนทำการเกษตร มีอะไรบ้าง

จะลงทุนการเกษตร ต้องรู้

ความพยายามและเงินทุนเป็นสิ่งสำคัญ : สาเหตุที่หลายคนหันหลังให้การเกษตร เพราะว่าต้องใช้แรงในการทำงานมากกว่าการทำงานในสำนักงานหลายเท่า ต้องอยู่กลางแดดร้อน ๆ เกือบทั้งวัน เราต้องถามตัวเองก่อนว่าพร้อมที่จะเผชิญกับภาวะเหล่านี้หรือไม่ โดยเฉพาะตอนเริ่มต้น ถ้าหากไม่มีเงินจ้างคนอื่นและไม่มีคนช่วยด้วยแล้ว การจะทำอะไรให้สำเร็จ ก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจมากเลยทีเดียว ดังนั้นการทำงานเก็บเงินให้มากพอเพื่อเป็นต้นทุนในการเริ่มต้น ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

ทำในสิ่งที่ชอบเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องดูความเป็นไปได้ด้วย : ปัจจัยหนึ่งที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การทำงานทุก ๆ งานสามารถทำได้โดยไม่เบื่อคือ งานนั้นต้องเป็นงานที่เราชอบ เพราะการทำในสิ่งไม่ชอบย่อมทำให้หมดแรงจูงใจในการทำงานได้ง่าย ซึ่งในการเริ่มต้นทำการเกษตร หลายคนจึงเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์หรือปลูกพืช ผลไม้ต่าง ๆ แต่นอกจากนี้เราต้องคำนึงถึงเส้นทางการทำการตลาดด้วย เพราะถ้ามีผลผลิตออกมาแล้ว ไม่มีสถานที่รองรับหรือจัดจำหน่ายได้ทัน ก็ส่งผลให้เกิดการเน่าเสีย และสูญเสียรายได้ตามมาด้วย

รู้จักเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น : เมื่อเราเลือกได้แล้วว่าจะทำการเกษตรประเภทใด ก็ต้องศึกษาในขั้นตอนและข้อมูลต่าง ๆ ให้ละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความผิดพลาดตามมาในภายหลัง โดยอาจใช้วิธีอ่านหนังสือ ดูคลิปวิดีโอ หรือไปเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์จริงก็ได้ทั้งสิ้น ซึ่งในทุกจังหวัดก็จะมีสำนักงานเกษตรที่สามารถช่วยเหลือคอยให้คำปรึกษาอยู่ด้วย

ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญ : การทำเกษตรต้องอาศัยปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม ทั้งลม น้ำ แสงแดด หรืออื่น ๆ ซึ่งหากเราทำเกษตรแบบที่ต้องการผลผลิตเร็ว ได้ผลสวยงาม แต่ไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค ก็จะทำให้เป็นการเกษตรแบบไม่ยั่งยืน ซึ่งวันหนึ่งอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายเราได้อีกด้วย

การเกษตร อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แต่ความเป็นจริงแล้วมีรายละเอียดอีกมากที่ต้องศึกษาก่อนลงทุน แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับผู้ที่มีใจรักและต้องการทำเกษตรอย่างจริงจังแน่นอน

4 เรื่องต้องรู้ ก่อนลงทุนทำการเกษตร

อาหารทานเล่น ธุรกิจน่าลงทุน ปี พ.ศ.2563

อาหารทานเล่น ธุรกิจน่าลงทุน ปี พ.ศ.2563

ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาพการเงิน เศรษฐกิจและสังคม สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การทำงานประจำทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไม่ได้เป็นงานที่สามารถการันตีถึงความมั่นคงในอาชีพอีกต่อไป ทำให้หลายคนเริ่มมองหาช่องทางในการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เสริม หรือรองรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้

การลงทุน ในการขายสินค้าเป็นช่องทางในการลงทุนที่หลายคนให้ความสนใจ หนึ่งในประเภทสินค้าที่ลงทุนไม่เยอะ ทำง่ายและขายได้กำไร โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นสินค้าประเภทของทานเล่นต่าง ๆ ซึ่ง 5 ธุรกิจอาหารทานเล่น ที่น่าลงทุน มีดังนี้

5 ธุรกิจอาหารทานเล่น

ไก่ป๊อบ เป็นอาหารว่างที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายคนโปรดปราน สามารถทานคู่กับน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ รวมถึงยังทานเป็นอาหารจานหลักคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ และน้ำพริกหรือน้ำจิ้มได้ เงินลงทุนซื้อไก่ป๊อบผสมสำเร็จพร้อมทอดอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 100 – 200 บาท แต่หากทำเองจะอยู่ที่ประมาณ 80 – 100 บาทต่อกิโลกรัม โดยส่วนใหญ่ขายในท้องตลาดลูกละ 1 – 2 บาท

แซนด์วิชคลีน เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพเป็นที่นิยมมากทำง่ายเพราะไม่ต้องสรรหาวัตถุดิบเยอะและสามารถสร้างกำไรได้ดี โดยต้นทุนต่อขนมปัง 1 ถุง รวมวัตถุดิบอื่น ๆ อยู่ที่ประมาณ 150 – 200 บาท (ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใส่) ขายได้ 18 คู่ คู่ละประมาณ 25 บาท

รวมมิตร หน้าร้อนใกล้เข้ามาเท่าไหร่ขนมรวมมิตรใส่น้ำแข็งเย็น ๆ ราดด้วยน้ำหวานและนมข้นเป็นเมนูสุดโปรดของทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายคน โดยวัตถุดิบในการทำรวมมิตรสามารถหาซื้อได้จากท้องตลาดทั้งหมด โดยราคาที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 20 – 30 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณวัตถุดิบและขนาดของภาชนะที่ใส่

เฟรนช์ฟรายด์ ของทอดแสนอร่อยที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคก็สามารถทานได้เพลิน ๆ เงินลงทุนไม่สูงมากแต่ทำกำไรได้ดี รวมถึงมีขั้นตอนในการทำไม่ยุ่งยาก สามารถหาซื้อวัตถุดิบเฟรนช์ฟรายด์ปรุงสำเร็จพร้อมทอดได้จากห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไป เมื่อทอดเสร็จราดด้วยซอสหรือเพิ่มผงแต่งรสต่าง ๆ ลงไปเพื่อความแปลกใหม่ โดยนำมาขายแบ่งเป็นถ้วย ถ้วยละ 20 – 25 บาท หรืออาจสูงกว่านี้ได้ขึ้นอยู่กับท็อปปิ้งต่าง ๆ ที่เพิ่มเข้าไป

ยำ เป็นอาหารสตรีทฟู้ดที่ได้รับความนิยมทั่วทุกพื้นที่ ต้นทุนอาจสูงกว่าอาหารว่างอื่น ๆ แต่สามารถขายได้กำไรมากกว่า รวมถึงหากทำได้อร่อยก็สามารถสร้างฐานลูกค้าประจำได้ด้วย โดยส่วนใหญ่ยำ 1 ถุง จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 50 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับปริมาณและวัตถุดิบที่ใช้

อาหารทานเล่นทั้ง 5 เมนู เป็นเพียงไอเดียส่วนหนึ่งเท่านั้น หากคุณมีเมนูพิเศษประจำตัวที่สามารถทำได้ดีอาจเป็นอีกทางเลือกที่เหมาะต่อการลงทุนเพื่อขายทำกำไรได้เช่นกัน

5 ธุรกิจอาหารทานเล่น

ลงทุนหุ้น-กองทุนด้วยพฤติกรรมแบบไหนต้องระวัง

ลงทุนหุ้น-กองทุนด้วยพฤติกรรมแบบไหนต้องระวัง

การลงทุนหุ้นและกองทุนเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่นิยม เพราะมีหนังสือสอนการลงทุนแพร่หลายมากมาย แนะนำวิธีการลงทุนให้มีรายได้เพิ่มควบคู่กับการทำงานประจำ

แต่ทั้งนี้ ก็มีพฤติกรรมการลงทุนบางอย่างที่ต้องระวัง เพราะจะทำให้คุณประสบความล้มเหลว ได้แก่

1. ลงทุนตามแฟชั่น

การลงทุนตามเทรนด์ความนิยมในช่วงนั้น ๆ โดยไม่มีความรู้จริง ๆ จะทำให้คุณไม่มีภูมิคุ้มกันในตัวเอง หากคุณชื่นชอบนักลงทุนระดับโลก เช่น วอเรน บัฟเฟต เมื่อศึกษาให้ดี จะรู้ว่าเขาใช้เวลาในการอ่านและศึกษาทำความเข้าใจกับระบบบัญชีที่แสดงถึงความมั่นคงของบริษัทก่อน หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุนโดยเฉพาะด้านหุ้น คุณก็ต้องหาข้อมูลและเรียนรู้แบบมืออาชีพให้มาก

2. มั่นใจในความคิดของตัวเองมากเกินไป

การไม่ฟังคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ว่าจะได้เงินตอบแทนกลับมาสูง หากลงทุนสวนกระแสได้ หรืออาจมากจากการยึดติดกับความคิดเดิม ๆ ของตัวเอง จนเกิดการปิดกั้นความรู้จากผู้อื่น อาจทำให้เกิดการซื้อขายผิดพลาด ได้หุ้นในราคาที่สูงเกินจำเป็น หรือขายหุ้นในราคาต่ำเกินไป ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมั่นใจมากเกินไป ก็อาจจะเป็นภัยที่ทำให้คุณไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเหมาะสมได้

3. ลงทุนแบบนักพนัน

การพนันต่าง ๆ นั้นโดยทั่วไปแล้วจะต้องอาศัยอุปนิสัย คือ กล้าได้กล้าเสียทุ่มเทหมดตัว โดยเฉพาะถ้าต้องการได้เงินที่สูญเสียไปกลับคืนมา ก็ต้องวางเดิมพันสูงขึ้น หากคุณนิสัยนั้นมาลงทุนในตลาดหุ้น หรือการซื้อกองทุนต่าง ๆ โดยไม่เผื่อเหลือเผื่อขาด เมื่อมีสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน เช่น เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ เกิดความขัดแย้งกันทางการเมืองระหว่างประเทศ แล้วส่งผลต่อค่าเงินในช่วงข้ามคืน คุณก็อาจจะเสี่ยงกับการหมดเงิน หรือหากขั้นรุนแรงก็อาจจะทำให้ล้มละลายได้เลยทีเดียว การกล้าได้กล้าเสียจึงต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมด้วย

4. ความตื่นตระหนกหวาดกลัวมากเกินไป

การลงทุนในตลาดหุ้นแบบมืออาชีพ คุณจะต้องไม่หวาดกลัวหรือตื่นตระหนกกับข่าวสารต่าง ๆ มากเกินไป เช่น เมื่อมีสงครามระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นข่าวดัง ทำให้คุณรีบขายหุ้นเร็วมากเกินไป ก็จะทำให้ได้ราคาเพียงครึ่งเดียวของที่ควรจะขายได้ในอนาคต คุณจึงเสียโอกาสได้เพิ่มมูลค่าของเงินในมือไป การหวาดกลัวเป็นสิ่งที่ดี ถ้าทำให้คุณรีบศึกษาข้อมูลและตัดสินใจหาแผนสำรองให้กับตัวเอง แต่การกลัวที่มากเกินไปอาจทำให้คุณเสียหายขั้นร้ายแรงได้เช่นกัน

จะเห็นได้ว่า การลงทุนที่ดีต้องประกอบไปด้วยความรู้และอุปนิสัยที่เหมาะสม จึงจะทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างมากในระยะยาว

พฤติกรรมการลงทุนบางอย่างที่ต้องระวัง

การลงทุนแบบมือใหม่ต้องเริ่มจากอะไรดี

ผู้ที่เป็นมือใหม่คิดจะลงทุน ต้องเรียนรู้โดยเริ่มจากอะไร

การลงทุนเป็นคำที่คนรุ่นใหม่ได้ยินบ่อยขึ้น เพราะภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอนและภาวะเงินเฟ้อที่จะทำให้เงินมีมูลค่าลดลง การลงทุนจึงเป็นช่องทางที่จะทำให้เงินที่มีอยู่เพิ่มมูลค่าได้ โดยหากลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ก็จะทำให้มีโอกาสร่ำรวยได้เร็วขึ้นด้วย

ผู้ที่เป็นมือใหม่คิดจะลงทุน ต้องเรียนรู้โดยเริ่มจากอะไร

1. เลือกสิ่งที่ตัวเองถนัด

ทุกคนต่างต้องการการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น ลงทุน 100 บาทแล้วได้ตอบกลับมาเป็น 10-30% ซึ่งการที่จะทำแบบนั้นได้ ส่วนใหญ่ต้องเป็นการลงทุนหุ้นรายตัวที่กำลังมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและต้องเรียนรู้จังหวะในการซื้อขายด้วย แต่หากเป็นมือใหม่ ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ แนะนำให้เริ่มศึกษาจากสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร และค่อย ๆ ปรับไปตามความถนัดจะป้องกันการสูญเงินต้นได้ดีที่สุด

2. ไม่ละเลยการหาความรู้

การเรียนรู้เรื่องการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญมากที่แม้แต่คนที่เป็นนักลงทุนมืออาชีพมีทรัพย์สินหมื่นล้านยังไม่สามารถหยุดนิ่งตัวเองที่จะเรียนรู้ได้ การศึกษาจากคลิปวิดีโอหรือการลงเรียนในคอร์สต่าง ๆ ที่ช่วยให้เข้าใจเรื่องการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การศึกษาเทคนิคการดูกราฟหุ้น การวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกและการเมือง ฯลฯ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้การลงทุนมีทิศทางที่เหมาะสมยิ่งขึ้น

3. กล้าที่จะลงมือ

หลายคนมัวแต่คิด แต่ไม่กล้าทำเสียที อย่าลืมว่าการเรียนรู้ผ่านระบบเสมือนหรือเกมส์การลงทุน ย่อมไม่เหมือนกับการอยู่ในสถานการณ์จริงของตลาด การเริ่มลงทุนจริง ๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณได้ก้าวต่อไป เพียงแต่เริ่มจากเงินทุนน้อย ๆ ประมาณ 5-10% ของเงินเก็บ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับขยายไป จะเป็นการไม่ประมาทและไม่ทำให้เสียดายมากหากถึงกรณีต้องขาดทุน

4. ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ

มีช่องทางมากมายที่นักลงทุนมือใหม่จะเข้าใจสภาพเศรษฐกิจและหัดประเมินสถานการณ์ตลาดการลงทุนที่สนใจได้ด้วยตัวเอง ซึ่งสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมตัวช่วยด้านเทคนิคในมือถือ หรือลงในคอมพิวเตอร์แบบฟรี ๆ ได้จากหลายเว็บไซต์

5. เข้าใจคำว่า cut loss

คำว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เป็นความจริงเสมอ ดังนั้น หากคุณต้องเผชิญสภาวะขาดทุนจากการลงทุน เช่น หุ้น ต้องเรียนรู้ที่จะ cut loss หรือหยุดการเสียหายไว้เท่าที่ใจคุณยอมรับได้ ซึ่งบางคนอาจยอมรับการขาดทุนได้ 10-20% แต่บางคนอาจยอมรับได้สูงถึง 50% ในส่วนนี้จึงต้องขึ้นกับอุปนิสัยและเงินทุนของแต่ละคน

จะเห็นได้ว่า การลงทุนสำหรับมือใหม่ มีหลายด้านที่ต้องศึกษา มีความตั้งใจจริง และสม่ำเสมอในการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและลงทุนอย่างเป็นระบบ จะทำให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน

การลงทุนแบบมือใหม่ต้องเริ่มจากอะไรดี