อาหารทานเล่น ธุรกิจน่าลงทุน ปี พ.ศ.2563

อาหารทานเล่น ธุรกิจน่าลงทุน ปี พ.ศ.2563

ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาพการเงิน เศรษฐกิจและสังคม สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การทำงานประจำทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไม่ได้เป็นงานที่สามารถการันตีถึงความมั่นคงในอาชีพอีกต่อไป ทำให้หลายคนเริ่มมองหาช่องทางในการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เสริม หรือรองรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้

การลงทุน ในการขายสินค้าเป็นช่องทางในการลงทุนที่หลายคนให้ความสนใจ หนึ่งในประเภทสินค้าที่ลงทุนไม่เยอะ ทำง่ายและขายได้กำไร โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นสินค้าประเภทของทานเล่นต่าง ๆ ซึ่ง 5 ธุรกิจอาหารทานเล่น ที่น่าลงทุน มีดังนี้

5 ธุรกิจอาหารทานเล่น

ไก่ป๊อบ เป็นอาหารว่างที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายคนโปรดปราน สามารถทานคู่กับน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ รวมถึงยังทานเป็นอาหารจานหลักคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ และน้ำพริกหรือน้ำจิ้มได้ เงินลงทุนซื้อไก่ป๊อบผสมสำเร็จพร้อมทอดอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 100 – 200 บาท แต่หากทำเองจะอยู่ที่ประมาณ 80 – 100 บาทต่อกิโลกรัม โดยส่วนใหญ่ขายในท้องตลาดลูกละ 1 – 2 บาท

แซนด์วิชคลีน เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพเป็นที่นิยมมากทำง่ายเพราะไม่ต้องสรรหาวัตถุดิบเยอะและสามารถสร้างกำไรได้ดี โดยต้นทุนต่อขนมปัง 1 ถุง รวมวัตถุดิบอื่น ๆ อยู่ที่ประมาณ 150 – 200 บาท (ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใส่) ขายได้ 18 คู่ คู่ละประมาณ 25 บาท

รวมมิตร หน้าร้อนใกล้เข้ามาเท่าไหร่ขนมรวมมิตรใส่น้ำแข็งเย็น ๆ ราดด้วยน้ำหวานและนมข้นเป็นเมนูสุดโปรดของทั้งเด็กและผู้ใหญ่หลายคน โดยวัตถุดิบในการทำรวมมิตรสามารถหาซื้อได้จากท้องตลาดทั้งหมด โดยราคาที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 20 – 30 บาท ขึ้นอยู่กับปริมาณวัตถุดิบและขนาดของภาชนะที่ใส่

เฟรนช์ฟรายด์ ของทอดแสนอร่อยที่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคก็สามารถทานได้เพลิน ๆ เงินลงทุนไม่สูงมากแต่ทำกำไรได้ดี รวมถึงมีขั้นตอนในการทำไม่ยุ่งยาก สามารถหาซื้อวัตถุดิบเฟรนช์ฟรายด์ปรุงสำเร็จพร้อมทอดได้จากห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าทั่วไป เมื่อทอดเสร็จราดด้วยซอสหรือเพิ่มผงแต่งรสต่าง ๆ ลงไปเพื่อความแปลกใหม่ โดยนำมาขายแบ่งเป็นถ้วย ถ้วยละ 20 – 25 บาท หรืออาจสูงกว่านี้ได้ขึ้นอยู่กับท็อปปิ้งต่าง ๆ ที่เพิ่มเข้าไป

ยำ เป็นอาหารสตรีทฟู้ดที่ได้รับความนิยมทั่วทุกพื้นที่ ต้นทุนอาจสูงกว่าอาหารว่างอื่น ๆ แต่สามารถขายได้กำไรมากกว่า รวมถึงหากทำได้อร่อยก็สามารถสร้างฐานลูกค้าประจำได้ด้วย โดยส่วนใหญ่ยำ 1 ถุง จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 50 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับปริมาณและวัตถุดิบที่ใช้

อาหารทานเล่นทั้ง 5 เมนู เป็นเพียงไอเดียส่วนหนึ่งเท่านั้น หากคุณมีเมนูพิเศษประจำตัวที่สามารถทำได้ดีอาจเป็นอีกทางเลือกที่เหมาะต่อการลงทุนเพื่อขายทำกำไรได้เช่นกัน

5 ธุรกิจอาหารทานเล่น

ลงทุนหุ้น-กองทุนด้วยพฤติกรรมแบบไหนต้องระวัง

ลงทุนหุ้น-กองทุนด้วยพฤติกรรมแบบไหนต้องระวัง

การลงทุนหุ้นและกองทุนเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่นิยม เพราะมีหนังสือสอนการลงทุนแพร่หลายมากมาย แนะนำวิธีการลงทุนให้มีรายได้เพิ่มควบคู่กับการทำงานประจำ

แต่ทั้งนี้ ก็มีพฤติกรรมการลงทุนบางอย่างที่ต้องระวัง เพราะจะทำให้คุณประสบความล้มเหลว ได้แก่

1. ลงทุนตามแฟชั่น

การลงทุนตามเทรนด์ความนิยมในช่วงนั้น ๆ โดยไม่มีความรู้จริง ๆ จะทำให้คุณไม่มีภูมิคุ้มกันในตัวเอง หากคุณชื่นชอบนักลงทุนระดับโลก เช่น วอเรน บัฟเฟต เมื่อศึกษาให้ดี จะรู้ว่าเขาใช้เวลาในการอ่านและศึกษาทำความเข้าใจกับระบบบัญชีที่แสดงถึงความมั่นคงของบริษัทก่อน หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุนโดยเฉพาะด้านหุ้น คุณก็ต้องหาข้อมูลและเรียนรู้แบบมืออาชีพให้มาก

2. มั่นใจในความคิดของตัวเองมากเกินไป

การไม่ฟังคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ว่าจะได้เงินตอบแทนกลับมาสูง หากลงทุนสวนกระแสได้ หรืออาจมากจากการยึดติดกับความคิดเดิม ๆ ของตัวเอง จนเกิดการปิดกั้นความรู้จากผู้อื่น อาจทำให้เกิดการซื้อขายผิดพลาด ได้หุ้นในราคาที่สูงเกินจำเป็น หรือขายหุ้นในราคาต่ำเกินไป ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่หากมั่นใจมากเกินไป ก็อาจจะเป็นภัยที่ทำให้คุณไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเหมาะสมได้

3. ลงทุนแบบนักพนัน

การพนันต่าง ๆ นั้นโดยทั่วไปแล้วจะต้องอาศัยอุปนิสัย คือ กล้าได้กล้าเสียทุ่มเทหมดตัว โดยเฉพาะถ้าต้องการได้เงินที่สูญเสียไปกลับคืนมา ก็ต้องวางเดิมพันสูงขึ้น หากคุณนิสัยนั้นมาลงทุนในตลาดหุ้น หรือการซื้อกองทุนต่าง ๆ โดยไม่เผื่อเหลือเผื่อขาด เมื่อมีสถานการณ์ที่ฉุกเฉิน เช่น เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจ เกิดความขัดแย้งกันทางการเมืองระหว่างประเทศ แล้วส่งผลต่อค่าเงินในช่วงข้ามคืน คุณก็อาจจะเสี่ยงกับการหมดเงิน หรือหากขั้นรุนแรงก็อาจจะทำให้ล้มละลายได้เลยทีเดียว การกล้าได้กล้าเสียจึงต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมด้วย

4. ความตื่นตระหนกหวาดกลัวมากเกินไป

การลงทุนในตลาดหุ้นแบบมืออาชีพ คุณจะต้องไม่หวาดกลัวหรือตื่นตระหนกกับข่าวสารต่าง ๆ มากเกินไป เช่น เมื่อมีสงครามระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นข่าวดัง ทำให้คุณรีบขายหุ้นเร็วมากเกินไป ก็จะทำให้ได้ราคาเพียงครึ่งเดียวของที่ควรจะขายได้ในอนาคต คุณจึงเสียโอกาสได้เพิ่มมูลค่าของเงินในมือไป การหวาดกลัวเป็นสิ่งที่ดี ถ้าทำให้คุณรีบศึกษาข้อมูลและตัดสินใจหาแผนสำรองให้กับตัวเอง แต่การกลัวที่มากเกินไปอาจทำให้คุณเสียหายขั้นร้ายแรงได้เช่นกัน

จะเห็นได้ว่า การลงทุนที่ดีต้องประกอบไปด้วยความรู้และอุปนิสัยที่เหมาะสม จึงจะทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างมากในระยะยาว

พฤติกรรมการลงทุนบางอย่างที่ต้องระวัง

การลงทุนแบบมือใหม่ต้องเริ่มจากอะไรดี

ผู้ที่เป็นมือใหม่คิดจะลงทุน ต้องเรียนรู้โดยเริ่มจากอะไร

การลงทุนเป็นคำที่คนรุ่นใหม่ได้ยินบ่อยขึ้น เพราะภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอนและภาวะเงินเฟ้อที่จะทำให้เงินมีมูลค่าลดลง การลงทุนจึงเป็นช่องทางที่จะทำให้เงินที่มีอยู่เพิ่มมูลค่าได้ โดยหากลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ก็จะทำให้มีโอกาสร่ำรวยได้เร็วขึ้นด้วย

ผู้ที่เป็นมือใหม่คิดจะลงทุน ต้องเรียนรู้โดยเริ่มจากอะไร

1. เลือกสิ่งที่ตัวเองถนัด

ทุกคนต่างต้องการการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น ลงทุน 100 บาทแล้วได้ตอบกลับมาเป็น 10-30% ซึ่งการที่จะทำแบบนั้นได้ ส่วนใหญ่ต้องเป็นการลงทุนหุ้นรายตัวที่กำลังมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงและต้องเรียนรู้จังหวะในการซื้อขายด้วย แต่หากเป็นมือใหม่ ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ แนะนำให้เริ่มศึกษาจากสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร และค่อย ๆ ปรับไปตามความถนัดจะป้องกันการสูญเงินต้นได้ดีที่สุด

2. ไม่ละเลยการหาความรู้

การเรียนรู้เรื่องการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญมากที่แม้แต่คนที่เป็นนักลงทุนมืออาชีพมีทรัพย์สินหมื่นล้านยังไม่สามารถหยุดนิ่งตัวเองที่จะเรียนรู้ได้ การศึกษาจากคลิปวิดีโอหรือการลงเรียนในคอร์สต่าง ๆ ที่ช่วยให้เข้าใจเรื่องการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การศึกษาเทคนิคการดูกราฟหุ้น การวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกและการเมือง ฯลฯ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้การลงทุนมีทิศทางที่เหมาะสมยิ่งขึ้น

3. กล้าที่จะลงมือ

หลายคนมัวแต่คิด แต่ไม่กล้าทำเสียที อย่าลืมว่าการเรียนรู้ผ่านระบบเสมือนหรือเกมส์การลงทุน ย่อมไม่เหมือนกับการอยู่ในสถานการณ์จริงของตลาด การเริ่มลงทุนจริง ๆ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณได้ก้าวต่อไป เพียงแต่เริ่มจากเงินทุนน้อย ๆ ประมาณ 5-10% ของเงินเก็บ ก่อนจะค่อย ๆ ขยับขยายไป จะเป็นการไม่ประมาทและไม่ทำให้เสียดายมากหากถึงกรณีต้องขาดทุน

4. ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจ

มีช่องทางมากมายที่นักลงทุนมือใหม่จะเข้าใจสภาพเศรษฐกิจและหัดประเมินสถานการณ์ตลาดการลงทุนที่สนใจได้ด้วยตัวเอง ซึ่งสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมตัวช่วยด้านเทคนิคในมือถือ หรือลงในคอมพิวเตอร์แบบฟรี ๆ ได้จากหลายเว็บไซต์

5. เข้าใจคำว่า cut loss

คำว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เป็นความจริงเสมอ ดังนั้น หากคุณต้องเผชิญสภาวะขาดทุนจากการลงทุน เช่น หุ้น ต้องเรียนรู้ที่จะ cut loss หรือหยุดการเสียหายไว้เท่าที่ใจคุณยอมรับได้ ซึ่งบางคนอาจยอมรับการขาดทุนได้ 10-20% แต่บางคนอาจยอมรับได้สูงถึง 50% ในส่วนนี้จึงต้องขึ้นกับอุปนิสัยและเงินทุนของแต่ละคน

จะเห็นได้ว่า การลงทุนสำหรับมือใหม่ มีหลายด้านที่ต้องศึกษา มีความตั้งใจจริง และสม่ำเสมอในการติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและลงทุนอย่างเป็นระบบ จะทำให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน

การลงทุนแบบมือใหม่ต้องเริ่มจากอะไรดี

จับตาดูธุรกิจแฟรนไชส์อะไรน่าลงทุน 2019

จับตาดูธุรกิจแฟรนไชส์อะไรน่าลงทุน 2019

แฟรนไชส์เป็นรูปแบบ การลงทุน ที่มีค่าใช้จ่ายน้อยและสามารถเรียนรู้ระบบที่เจ้าของกิจการต้นฉบับทำไว้แล้ว ผู้ที่สนใจอยากทำอาชีพเสริมเป็นธุรกิจแฟรนไชส์หรือลงทุนทำเป็นงานประจำในระยะยาว ควรที่จะศึกษาแนวโน้มธุรกิจในปี 2019 ให้ดี โดยเรารวมประเภทธุรกิจแฟรนไชส์ที่น่าลงทุนมาดังนี้

1.อาหารจานร้อน

อาหารจานร้อน เช่น สเต็ก ผัดไทย หอยทอด บะหมี่ กระทะร้อน ฯลฯ เป็นเมนูอาหารที่คนไทยและชาวต่างชาตินิยม สามารถรับประทานได้เป็นประจำทุกวันตลอดปี

ความอร่อยของรสชาติอาหาร โดยเฉพาะมีน้ำซุป น้ำจิ้ม ที่เป็นเอกลักษณ์ ความสดใหม่ของวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพให้มีมาตรฐานอยู่เสมอ และบริการที่ดีของผู้ขาย จะทำให้ได้รับคำตอบรับจากลูกค้าทุกกลุ่มวัยเป็นอย่างดี ถ้าสามารถหาทำเลย่านโรงเรียนชุมชนใกล้ตลาดและจอดรถได้ ก็จะทำให้คุณมีรายได้อย่างมากแน่นอน

2.อาหารที่มีความเย็น

ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีมเครื่องดื่มชากาแฟ น้ำปั่นผลไม้ล้วน แต่เป็นของที่เข้ากับสภาพอากาศของประเทศไทยที่จะมีความร้อนอยู่เกือบตลอดทั้งปี ธุรกิจประเภทนี้จะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าธุรกิจอาหารทั่วไป จะอยู่ที่ประมาณหลักหมื่นบาทต้น ๆ เท่านั้น เท่ากับว่าสามารถคืนทุนได้ในเวลาเพียงแค่ 1-2 เดือน

จุดที่ไม่ควรมองข้าม คือ ควรเลือกทำเลที่อยู่ใกล้กับชุมชนโรงเรียนที่มีเด็กจำนวนมาก ๆ หรือใกล้มหาวิทยาลัยหอพักที่มีนักศึกษาจำนวนมาก เพราะเป็นของที่รับประทานง่ายและ และเป็นกลุ่มที่มีความนิยมสูง

3.ขายของจิปาถะ

คุณอาจเคยเห็นร้านขายของทุกอย่าง 20 บาทหรือร้านขายสินค้าจิปาถะ เช่น กะละมัง สบู่ ของใช้ในครัว งานช่าง ฯลฯ ซึ่งเป็นของที่คนส่วนใหญ่ต้องการซื้อหาเน้นความรวดเร็วและมีให้เลือกได้มากมาย นั่นคือเป้าหมายที่ดีที่คุณจะสามารถทำธุรกิจแฟรนไชส์แบบนี้ได้เช่นกัน เพียงลงทุนหลักหมื่นบาทคุณก็สามารถที่จะมีธุรกิจขายของจิปาถะเป็นของตัวเองได้

ที่สำคัญคือ เลือกทำเลที่อยู่ใกล้ถนนมีผู้คนสัญจรไปมามากและมีที่จอดรถกว้างขวาง จะทำให้คุณได้ลูกค้าประจำและลูกค้าขาจรตลอดทั้งปี ถ้าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพเหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้งาน ก็จะทำให้มีการบอกต่อไปเรื่อย ๆ จะคืนทุนและสร้างกำไรได้ในเวลาอันรวดเร็ว

การลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์เป็นสิ่งที่ต้องทำการศึกษาและเลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมกับความชอบของตัวเอง เลือกทำเลที่ดีจะทำให้คุณได้เปรียบกว่าธุรกิจประเภทอื่น ๆ ที่สำคัญแฟรนไชส์มีระบบที่สามารถศึกษาผ่านการลองถูกผิดมาแล้ว หากมีลูกจ้างที่ไว้วางใจได้และสินค้าคุณภาพดีเท่านี้ คุณก็จะประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจแฟรนไชส์ในปี 2019 แน่นอน

แฟรนไชส์เป็นรูปแบบการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายน้อยแ

แอปพลิเคชันเพื่อการลงทุนที่คนรุ่นใหม่ต้องรู้จัก

แอปพลิเคชันเพื่อการลงทุนที่คนรุ่นใหม่ต้องรู้จัก

ปัจจุบันการลงทุนซื้อขายหุ้น กองทุน สินทรัพย์ เช่น ทองคำ สามารถทำได้ทางระบบออนไลน์ ผ่านหน้าจอมือถือ ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระบบ 5G ซึ่งมีการออกแบบแอปพลิเคชันให้ใช้งานได้ง่ายและมีฟังก์ชั่นเสริมต่าง ๆ ที่ดึงดูดใจนักลงทุนคนรุ่นใหม่ให้ดาวน์โหลดใช้งานอยู่เสมอ

เราจึงได้รวมแอปพลิเคชันด้านการลงทุนที่คนรุ่นใหม่ต้องรู้จัก เพื่อให้เข้าถึงการลงทุนเสริมสร้างความมั่งคั่งทางการเงินได้ง่ายขึ้น ดังนี้

1. FIN

เป็นแอปพลิเคชันที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบความเสี่ยงปานกลาง หรือเสี่ยงน้อยกว่าการ เล่นหุ้น เพราะเป็นแหล่งรวมข้อมูลกองทุนให้เลือกทั้งในไทยและต่างประเทศ มีทั้งแบบ LTF RMF และกองทุนรวมอื่น ๆ ที่มีสถิติให้ดูเปรียบเทียบย้อนหลัง เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่ง่ายขึ้นด้วย

2. Settrade Streaming

เป็นแอปพลิเคชันชื่อดังที่คนไทยนิยมใช้ สามารถใช้ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยจะใช้บริการผ่านโทรศัพท์ระบบปฏิบัติการ Android หรือ iOS ก็ได้ ถูกออกแบบมาให้แสดงผลกราฟและสถิติต่าง ๆ แบบเป็นปัจจุบันหรือ Real-time และผู้ใช้แต่ละคนสามารถตั้งค่ารายการหุ้นที่สนใจในหัวข้อ Favorite เพื่อการติดตามได้อย่างรวดเร็วด้วย

3. Stock Radar

เป็นแอปพลิเคชันที่ออกแบบและพัฒนาโดยฝีมือคนไทย มีการใช้สูตร MACD และ RSI ซึ่งเป็นเทคนิคในการเลือกหุ้น เพื่อการลงทุนที่ดี จุดเด่นของแอปพลิเคชันนี้ คือ มีสถิติตัวเลขและกราฟแบบที่คนไทยเข้าใจง่าย เพราะวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือจะทำหน้าที่เหมือนเป็นเรดาร์ ในการหาหุ้นที่มีคุณภาพดีผ่านระบบวิเคราะห์ algorithm ที่จะจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว ให้นักลงทุนซื้อขายได้ตรงถูกจังหวะมากขึ้น

4. HSH Trade

สำหรับคนที่ชอบลงทุนในทองคำ ต้องห้ามพลาดแอปพลิเคชันนี้ เพราะช่วยให้ซื้อขายทองคําร้านฮั่วเซ่งเฮงที่มีชื่อเสียงอันดับต้นของประเทศได้ง่ายดาย ทั้งสามารถดูตัวเลขมูลค่าทองคำย้อนหลัง ทั้งทองรูปพรรณและทองคำแท่ง เพื่อวางแผนลงทุนได้ดีขึ้นด้วย

5. Gold th

เป็นตัวช่วยที่ทำให้การซื้อขายทองคำเป็นเรื่องง่าย สามารถติดตามราคาทองคำทั้งในและต่างประเทศได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ไม่พลาดจังหวะการซื้อขาย ที่ต้องเน้นความรวดเร็วในการตัดสินใจซื้อขายที่แม่นยำ นักลงทุนด้านทองคำ จึงไม่ควรพลาด รีบดาวน์โหลดไว้ในมือถือเสียแต่วันนี้แอปพลิเคชันด้านการลงทุน

คนรุ่นใหม่นิยมใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อการลงทุนรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้มีการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย ส่งเสริมความมั่งคั่งให้นักลงทุนหน้าใหม่ตั้งแต่อายุน้อย ทำให้เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ทางการเงิน วางแผนการออมและใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล และทำให้มีประสบการณ์ด้านการลงทุนที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจในอนาคตด้วย

วิธีการลงทุนที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ 2019

วิธีการลงทุนที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ 2019

ในปี 2019 คนรุ่นใหม่มีความสนใจในศาสตร์การเงินและการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากสามารถทำให้เงินเก็บเพิ่มพูนมูลค่าได้อย่างมาก ทั้งผลประโยชน์ในรูปแบบเงินดอกเบี้ย เงินปันผล ตลอดจนสิทธิพิเศษต่าง ๆ ตามรูปแบบของการลงทุน

เราจึงได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าของเงินเก็บมาฝากกัน ดังนี้

1. การเล่นหุ้น

ผู้ที่สนใจการเล่นหุ้นในปี 2019 ควรศึกษาจากการอ่านหนังสือที่กูรูหรือเซียนหุ้นเขียนอย่างละเอียดและหมั่นเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการเทรดหุ้นจริงในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะทำให้ตอบตนเองได้ว่าไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบเหมาะกับการเล่นหุ้นประเภทใด เพราะการซื้อขายหุ้นมีหลายแบบ เช่น การซื้อขายรายวันหรือ day-trade การถือครองหุ้นระยะยาวหรือ VI (Value investment) ซึ่งแต่ละแบบจะมีเปอร์เซ็นต์ของค่าตอบแทนที่แตกต่างกันตามจังหวะของตลาดหุ้น

2. การซื้อกองทุนรวม

เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปที่ยังไม่เชี่ยวชาญ อีกทั้งขาดประสบการณ์ลงทุนในหุ้น จึงเลือกที่จะซื้อกองทุนรวมที่มีผู้บริหารกองทุนทำหน้าที่ดูแลอย่างเป็นทางการ ซึ่งโดยรวมแล้วเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทนของกองทุนรวมอาจน้อยกว่าการเล่นหุ้นแบบรายตัว เพราะจะเป็นการถัวเฉลี่ยค่าตอบแทนจากหุ้นหลายสิบตัวในตลาดหลักทรัพย์

3. การออมเงินในสหกรณ์

การสมัครเป็นสมาชิกในสหกรณ์ใด ๆ ต้องมีคุณสมบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งมักเป็นสิทธิประโยชน์สำหรับคนที่ทำงานในสายราชการหรือหน่วยงานขนาดใหญ่ ที่จะมีการจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์เพื่อการออมเงิน โดยมีการจูงใจด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากธนาคารและการซื้อกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป ทั้งยังสามารถกู้เงินสหกรณ์ได้ตามสิทธิ์ เพื่อการลงทุนทำกิจการต่าง ๆ ในอนาคตได้อีกด้วย จึงนับว่าเป็นช่องทางที่คนรุ่นใหม่นิยมลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ

4. การซื้อทอง

ทองเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงตลอดเวลา และอาจปรับเพิ่มมูลค่าตามภาวะเศรษฐกิจได้อีกด้วย การลงทุนด้วยการซื้อทองเก็บไว้จึงเป็นวิธีในการเก็บออมเงินที่ดี และทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไปด้วย ทั้งนี้ควรติดตามการเคลื่อนไหวของราคาทองก่อนการซื้อ เพื่อให้ได้มีต้นทุนที่ต่ำที่สุด โดยจะซื้อในรูปแบบของทองรูปพรรณ ทองแท่ง หรือซื้อผ่านกองทุนทอง เพื่อความปลอดภัยในการเก็บรักษาก็ได้เช่นกัน

จะเห็นได้ว่าการลงทุนมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละคนควรเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับตัวเอง ที่สำคัญคือ การลงทุนในความรู้ เพื่อที่จะพัฒนาวิสัยทัศน์ ความสามารถในการวิเคราะห์สภาพตลาด เศรษฐกิจและการเมืองของโลกได้อย่างรอบด้าน อันจะทำให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากยิ่งขึ้นได้

นรุ่นใหม่ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าของเงิน

ขาดทุนเลี้ยวซ้าย ได้กำไรเลี้ยวขวา เรื่องที่นักลงทุนต้องรู้

ทำไมการลงทุนจึงขาดทุนได้

“ถ้าคิดจะเป็นนักลงทุน ต้องพร้อมที่จะกำไรและขาดทุน” เพราะโลกของเราไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยหรูอย่างคำลวงผิด ๆ ที่ชวนฝันให้เห็นภาพว่าถ้าลงทุนแล้วจะรวยเป็นเศรษฐี หรือ คำกล่าว “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” ซึ่งก็มีความจริงอยู่บ้างแต่ไม่ทั้งหมด ดังนั้นการลงทุนจึงเหมือนทางเดินที่ไปพบกับทางเลือกสองทางคือ การขาดทุน และ การได้กำไร

ทำไมการลงทุนจึงขาดทุนได้?

มีสาเหตุมากมายทั้งที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ธุรกิจ SMEs เกิดใหม่เพียงร้อยละ 50 เท่านั้น ที่เป็นผู้รอดเมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี นั่นหมายความว่าอีกร้อยละ 50 ก็คือขาดทุนหรือจำเป็นต้องปิดตัวลงไป ด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจ นโยบายภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ รวมถึงการบริหารทรัพยากรบุคคล ก็มีผลทำให้กำไรหรือขาดทุนได้ แม้เป็นนักลงทุนรายย่อยก็เช่นกัน หุ้นตัวที่ถืออยู่อาจจะทำกำไรได้ในวันนี้ แต่อาจจะขาดทุนมหาศาลในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้ รวมถึงการถือครองโลหะที่มูลค่าอย่างทองคำ หากเข้าซื้อผิดช่วงก็จะเกิดการติดดอยทองคำ ลงมาไม่ได้ไม่กล้าขายออกเพราะจะขาดทุน หลายรายต้องขาดทุนยิ่งขึ้นไปอีก เพราะพื้นลดระดับลงไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งดูสูงขึ้นจนไม่กล้ากระโดดลงมา

การปิดประตูขาดทุนทำได้หรือไม่?

สามารถทำได้ถ้ามีความรู้เท่าทันเหตุการณ์ และมีความจดจ่ออยู่กับธุรกิจที่ลงทุน อย่างเช่น นักลงทุนในหุ้น ที่บริหารพอร์ตด้วยตนเอง ได้รับคำแนะนำว่าให้ถือหุ้นเพียง 2-3 ตัวเท่านั้น หากมากกว่านั้น อาจจะติดตามข่าวสารไม่ทัน ซึ่งทุกวันนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก เช่น สหรัฐฯ สั่งขึ้นภาษีสินค้าจีน จากข่าวนี้ก็อาจจะทำให้หุ้นตัวที่ถืออยู่เกิดผลกระทบได้โดยที่คาดไม่ถึงมาก่อนก็เป็นได้ ความรู้ในงานที่ทำจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก อีกทั้งต้องก้าวตามให้ทันเทคโนโลยีและแนวโน้ม ซึ่งมีกรณีศึกษามากมายถึงธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวได้กับยุคของเทคโนโลยีทำให้ต้องปิดตัวลงไป ที่เห็นได้ชัด เช่น สื่อสิ่งพิมพ์สำนักต่าง ๆ ที่ทยอยปิดตัวลง หรือวงการเพลงที่ซบเซาลง จากการมาของยุคอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (Internet of Things) การใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์และ AI กำลังมีบทบาทสำคัญที่อาจจะทำให้งานบางงานหรือบางธุรกิจต้องรีบปรับตัว

นักลงทุน ในหุ้นในธุรกิจต่าง ๆ จะถือหุ้นบนหอคอยงาช้าง รอรับเงินปันผลเพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องเข้ามาขวนขวายความรู้ของธุรกิจไปด้วย รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ต่าง ๆ กับสังคมออนไลน์ เพื่อรวบรวมข้อมูลทุกด้านเข้าด้วยกันแล้วประเมินความเสี่ยงของธุรกิจที่ถือครองหุ้นอยู่ว่าจะมีแนวโน้มอย่างไรในอีก 5-10 ปี ข้างหน้า หากทำได้ก็จะได้ก้าวเข้าไปอยู่ในเส้นทางของกำไรมากกว่าการขาดทุน

ขาดทุนเลี้ยวซ้าย ได้กำไรเลี้ยวขวา เรื่องที่นักลงทุนต้องรู้

เริ่มต้นธุรกิจใหม่ เคล็ดลับการลงทุนที่ต้องรู้

ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายของตัวเอง

เป็นธรรมดาของคนเริ่มธุรกิจใหม่ที่จะกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายการลงทุนที่มีราคาสูง แม้ว่าจะเป็นเพียงธุรกิจเล็ก ๆ จะต้องมีต้นทุนด้านสถานที่ ค่าธรรมเนียมธุรกิจ ใบอนุญาตและการลงทะเบียน ไหนจะต้องซื้ออุปกรณ์และวัสดุทั้งหลาย หมดเงินไปจำนวนมาก ยังไม่ทันเริ่มก็เครียดแล้ว แต่ถ้าเรียนรู้กลยุทธ์การออมและการลงทุนที่ถูกต้อง จะมีเงินหมุนเวียนคล่องมือ ไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพคล่องอีกด้วย เมื่อคิดจะทำธุรกิจ ต้องเข้าใจก่อนว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ควรวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบพร้อมกับศึกษาเคล็ดลับต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจในฝันเดินหน้าไปจนถึงจุดคุ้มทุนโดยไม่สะดุดเสียก่อน มาดูกันว่ากลยุทธ์เหล่านั้นมีอะไรบ้าง

1.ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายของตัวเอง

คนที่เพิ่งเริ่มธุรกิจด้วยเงินลงทุนของตนเอง ก่อนอื่นคุณต้องบันทึกไว้ว่าคุณมีค่าใช้จ่ายส่วนตัวเท่าไร สามารถลดทอนและประหยัดได้เท่าไร ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายส่วนตัวแยกไว้เก็บบัญชีหนึ่ง ส่วนเงินสำหรับการลงทุนในธุรกิจให้แยกไว้อีกบัญชีหนึ่ง เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ช่วยให้บริหารจัดการเงินสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น การควบคุมงบประมาณค่าใช้จ่ายด้วยตัวเองทำให้ไม่พลาดเรื่องลดการใช้จ่ายเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ เช่น กินกาแฟนที่บ้านแทนกาแฟสดราคาแพง ยกเลิกสมาชิกโรงยิมที่ไม่ว่าเข้าใช้บริการ หรือยกเลิกการสมัครสมาชิกเคเบิลทีวี เงินที่ประหยัดได้ส่วนนี้ควรเก็บออมสะสมเพื่อการลงทุนในภายหลัง

2.ลงทุนในกองทุนรวม

มีธนาคารพาณิชย์ไม่กี่แห่งที่ยอมปล่อยสินเชื่อให้เจ้าของกิจการหน้าใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นนับหนึ่งเท่านั้น ความไม่พร้อมทำให้เกิดปัญหาและไปไม่รอด หากคุณต้องการมองหาแหล่งทุนเพิ่มเติม อาจจะลงทุนกับกองทุนรวมซึ่งง่ายสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น ข้อสำคัญคือพิจารณาเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ซื้อง่ายขายคล่อง ไม่มีข้อผูกพันระยะยาว เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ฉลาดเพื่อนำเงินออกมาใช้ได้เมื่อพร้อมที่จะเปิดธุรกิจ อย่างไรก็ดี ตรวจสอบให้มั่นใจว่าไม่ถูกหลอก กองทุนที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูง มีความเสี่ยงน้อยมาก อาจเป็นสัญญาณการหลอกลวงที่ชัดเจน

3.ลงทุนด้านความรู้

มีความคิดจะทำธุรกิจ สิ่งแรกที่สำคัญอาจไม่ใช่เงินทุนก้อนโต แต่เป็นการวางแผนล่วงหน้าและความรู้ซึ่งต้องศึกษาอย่างจริงจังและเตรียมตัวเพื่อทำธุรกิจโดยมีความรู้ความสามารถมากที่สุด มีความรอบคอบนำเงินลงทุนไปใช้ให้เกิดดอกผลงอกเงยในระยะสั้น ไม่ใช้เงินแบบเปล่าประโยชน์ เช่น ซื้อสินค้ามากักตุนไว้เพราะเห็นแก่การซื้อส่งที่ช่วยประหยัดต้นทุน แต่สะสมของไว้ในสต๊อกมากเกินไป เริ่มธุรกิจไม่ทันไรก็ขาดสภาพคล่องแล้ว ซ้ำร้ายสินค้าระบายไม่ทันอาจหมดอายุเสื่อมคุณภาพไปเสียก่อน เท่ากับว่าทุนหายกำไรหด ในกรณีที่ตนเองไม่เก่งในด้านไหนให้จ้างคนที่มีความรู้ความถนัดมาช่วย เมื่อพบปัญหาก็จะคิดหาแนวทางแก้ไขได้ทันท่วงที

4.ลงทุนในสิ่งที่ส่งเสริมให้ธุรกิจก้าวหน้า

ก่อนนำเงินมาลงทุนในธุรกิจต้องพิจารณาว่าผลตอบแทนคุ้มค่าหรือไม่ การลงทุนแบบไหนจะส่งให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นที่สุด เช่น การลงทุนจ่ายค่าวางสินค้าในตำแหน่งสินค้าขายดีดูเด่นสะดุดกว่าคู่แข่ง เพื่อให้ลูกค้าเห็นก่อนและหยิบง่ายในช่วงเวลารีบเร่ง ในฐานะธุรกิจขนาดเล็กยังไม่มีเงินทุนมากพอ อาจปรับการลงทุนเป็นการออกแบบแพ็คเกจจิ้งให้สะดุดตาน่าสนใจกว่า คิดหาวิธีที่สามารถปรับปรุงให้ธุรกิจมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

เริ่มต้นธุรกิจใหม่ เคล็ดลับการลงทุนที่ต้องรู้

ลงทุนแบบไหนมนุษย์เงินเดือนควรศึกษา

ลงทุนแบบไหนมนุษย์เงินเดือนควรศึกษา

ปัจจุบันมีการลงทุนหลากหลายแบบที่สามารถทำให้เงินทองงอกเงยขึ้นได้ ซึ่งคนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนควรจะทำการศึกษาไว้เพื่อทำให้เงินที่ได้มาอย่างจำกัดสามารถเพิ่มผลประโยชน์หรือสร้างรายได้ จากการลงทุนทั้งในแบบระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจะเสริมสร้างความมั่งคั่งและความปลอดภัยทางฐานะในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น

การลงทุนที่มนุษย์เงินเดือนควรศึกษาการ มีดังนี้

1. การฝากเงินแบบประจำ จะเป็นวิธีสะสมเงินออมไปเรื่อย ๆ แบบที่ได้ดอกเบี้ยอย่างแน่นอน เป็นการลงทุนแบบง่ายที่สุด ที่ผู้ทำงานแบบรับเงินเดือน จะไม่รู้สึกเป็นภาระหรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มความเครียดในชีวิตประจำวัน

ทั้งนี้ เงินฝากแบบประจำจะมีข้อดีที่ปลอดจากการเรียกเก็บภาษีด้วย เช่น ฝากประจำเดือนละ 500 บาทติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปีเต็ม จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% อย่างการฝากเงินแบบอื่น ๆ

2. การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนทุกคนควรศึกษาและทำการหักเงินเข้ากองทุนเหล่านี้ตั้งแต่เดือนแรก ๆ เพื่อให้มีเงินเก็บเป็นก้อนจำนวนหลายแสนบาท สำหรับการใช้จ่ายในวัยเกษียณ ทั้งนี้สามารถที่กำหนดเปอร์เซ็นต์เงินออมได้ว่าต้องการให้หักอัตโนมัติเท่าใดจากรายได้แต่ละเดือน (ในช่วงตั้งแต่ 12 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์) ซึ่งอาจจะมีการสมทบจากนายจ้างตามกฎหมายด้วย การหักเงินอัตโนมัติเข้ากองทุนนี้ เป็นวิธีรักษาเงินไว้ได้เป็นอย่างดี ถ้าเทียบกับการลงทุนในหุ้นที่คุณยังศึกษาไม่ดีพอ ก็อาจทำให้เงินต้นสูญไปทั้งหมดได้

การลงทุนที่มนุษย์เงินเดือนควรศึกษา

3. สหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นตัวอย่างการลงทุนแบบหนึ่งที่มีความเสี่ยงมากกว่าที่กล่าวมาใน 2 ข้อแรก โดยเฉพาะหากเป็นสหกรณ์จัดตั้งใหม่ที่ยังขาดระบบในการควบคุมและตรวจสอบ แต่ก็เป็นการลงทุนแบบที่มีอัตราผลตอบแทนที่สูง มีการคำนวณเงินปันผลให้กับสมาชิกของสหกรณ์เป็นรายเดือนรายปี ที่สามารถถอนมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในยามฉุกเฉินได้ หรือจะเก็บสะสมไปเรื่อย ๆ ก็ได้เช่นกัน

4. การลงทุนในหุ้นแบบปันผล เพียงศึกษาการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และเลือกหุ้นที่มีความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของบริษัท การซื้อหุ้นแบบปันผลในบริษัทเหล่านั้น จะสร้างความมั่งคั่งให้แก่คุณในระยะยาวได้ โดยยังสามารถซื้อหุ้นได้ในหลายกิจการอย่างที่คุณไม่สามารถเปิดกิจการเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง การลงทุนในข้อนี้จึงเป็นที่นิยมมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่

หวังว่าวิธีการออมที่ยกตัวอย่างมา จะมีประโยชน์ต่อทุกท่านในการทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการแบ่งส่วนหนึ่งของรายได้ เพื่อลงทุนและสำรองเป็นค่าใช้จ่ายในอนาคต

ลงทุนทำอย่างไรให้มีรายได้หลักแสน

ลงทุนทำอย่างไรให้มีรายได้หลักแสน

เลิกผูกติดกับรายได้

เลิกผูกติดกับรายได้อย่างกับเงินเดือนของงานประจำที่ต้องออกทุกเดือน ควรเล็งแต่ผลที่ตอบแทนในระยะยาว อย่างเช่น กำไรปันผล ให้เข้าใจง่าย ๆ คือสร้างผลตอบแทน 100% ต่อปี ดีกว่าผลตอบแทนรายเดือนแค่ 5%

ลองจินตนาการถึงหุ้น

ซื้อหุ้น ให้ผลตอบแทน 5% เช่นลงทุนไป 10 ล้าน จะได้ปันผล 5 แสน/ปี หรืออาจจะซื้อคอนโดยูนิตละ 5 ล้าน แล้วเอามาปล่อยเช่า ได้ค่าเช่าเดือนละ 2 หมื่น คงจะเข้าใจได้ว่า ถ้าอยากมีรายได้เยอะ ให้เก็บเงินต้นให้เยอะขึ้น ก็คือเก็บเงินเดือนให้ได้เยอะ ๆ

ถ้ามีเงินน้อย แต่อยากได้เงินเยอะ ต้องมีความเสี่ยงมากขึ้น

การลงทุนต้องศึกษาให้มาก ๆ หากมีความรู้แล้วก็สามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่คุณมีความรู้ และมีประสบการณ์เยอะ ถ้าอยากได้เงินที่รวดเร็วก็ต้องฝึกหนัก ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ

เลิกคิดถึงแต่ผลตอบแทนที่ใช้ในการลงทุน

ไม่ควรคิดถึงแต่ผลตอบแทน ที่จะไม่ต้องทำอาชีพอื่น แต่ควรที่จะทำงานที่ตนเองรักไปด้วยพร้อมกับการลงทุน รายได้จากการทำงานจะช่วยลดความยากของการลงทุน

ลงทุน อย่างไรให้มีรายได้หลักแสน